Fandom แอปพลิเคชั่นใหม่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนของ “บิทคับ” สร้างประสบการณ์จุดพลุ Fun to earn ดึง “FC-ศิลปินดัง-อินฟลูเอนเซอร์” เชื่อมประสบการณ์โลกใหม่สู่ยุค Web 3.0 ชิงเค้กตลาดแฟนคลับศิลปิน มูลค่า 150 ล้านบาท
วันที่ 6 มิถุนายน 2565 บริษัท แฟนดอม แอพพลิเคชั่น จำกัด เปิดตัวแอปพลิเคชั่น FANDOM แพลตฟอร์มคอมมิวนิตี้ของแฟนคลับ และศิลปิน ภายใต้คอนเซ็ปต์ Fun to earn ให้แฟนคลับและศิลปินสร้างสรรค์ผลงาน และสะสมเหรียญ Fandom coin จากการถ่ายคลิปวิดีโอ, ทำโปสเตอร์, ตอบคำถาม และการทำกิจกรรมต่าง ๆร่วมกัน ภายในคอมมิวนิตี้
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
นางสาวสิรโสมย์ บริสุทธิ์สุวรรณ์ ประธานกรรมการบริหาร แฟนดอม แอพพลิเคชั่น จำกัด เปิดเผยว่าตลาดแฟนคลับในประเทศไทยมีขนาดใหญ่มาก มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 6 ของโลก ด้วยมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท
“นอกจากแฟนคลับศิลปิน K-POP แล้วยังมี J-POP, Gamer, Influencer และอุตสาหกรรมบันเทิงอีกหลายด้าน ทั้งมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่มีช่องว่างทางการตลาดอีกมากด้วย เนื่องจากยังไม่มีพื้นที่หรือแพลตฟอร์มที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อระหว่างแฟนคลับกับศิลปิน ทำให้มีกลุ่มแฟนคลับกระจายอยู่ตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ”
จาก Pain point ที่ “ศิลปิน” ไม่สามารถเข้าถึงแฟนคลับทุกคนได้อย่าง Fandom จึงเข้ามาสร้างคอมมิวนิตี้ จากฐานแฟนคลับที่มีอยู่แต่ละที่มาไว้ในที่เดียวกัน โดยจะมีการยืนยันตัวตน (KYC) เพื่อให้รู้จักตัวตนกันมากขึ้น ทำให้ ศิลปินรู้ว่าใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ผ่านการทำกิจกรรมกับคอมมิวนิตี้อย่างต่อเนื่อง
การทำกิจกรรมต่าง ๆ นอกจากได้ความสนุก (Fun) แล้วยังได้รับ (Earn) “แฟนดอมคอยน์” เป็นสิ่งตอบแทน เพื่อนำไปซื้อ NFT ของสะสมจากศิลปิน รวมถึง NFT ของคนในคอมมิวนิตี้ด้วยกันเอง หรือเพื่อไปแลกเปลี่ยนหรือแลกการร่วมกิจกรรมเอ็กซ์คลูซีฟต่าง ๆ ทำ
“ทั้งแฟนคลับ และศิลปิน จะเป็นผู้สร้างผลงาน NFT ร่วมกัน ทั้งการมีแพลตฟอร์มกลางคอยดูแลทำให้ปัญหาต่างๆ จะทำให้กรณีดราม่า หรือข่าวลือต่าง ๆ ลดลง ศิลปินก็อยากเข้ามาร่วมด้วย เพราะสื่อสารกับเหล่าแฟนคลับได้โดยตรง”
โดยแอปพลิเคชั่นดังกล่าว เป็น DApps หรือ Decentralized applications แอปพลิเคชั่นแบบกระจายอำนาจที่สร้างบนเครือข่ายบล็อกเชน บิทคับ (BKC Chain) ใช้พลังของเทคโนโลยียืนยันที่อยู่ของ NFT เป็นแรงหลักในการสะสม แลกเปลี่ยนแต้มเป็น NFT ของศิลปินที่ชื่นชอบ เพื่อเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
ด้านนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้ง บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง กล่าวว่า NFT เปรียบเป็นเครื่องมือขัดเพชรเพื่อดึงมูลค่าที่เคยปล่อยไว้ เพราะนักกีฬา และศิลปินต่าง ๆ มักมีมูลค่าที่ปล่อยให้เปล่าประโยชน์ เช่น การเดินจับมือลงสนามหรือแม้แต่การกินข้าว ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่เดิมไม่สามารถถ่ายโอนมูลค่าได้ เพราะไม่รู้ว่าใครเห็นค่าบ้าง และ NFT ช่วยให้มีค่าขึ้น ทำให้แฟนคลับพันธุ์แท้ยอมแลก ซื้อ และสะสม เพื่อให้ได้ประสบการณ์ต่าง ๆ
“การนำ NFT มาใช้ในวงการแฟนคลับ นอกจากช่วยให้แฟนคลับ และศิลปินได้ยกระดับมูลค่าแล้วยังเปลี่ยนแปลงวงการเอ็นเตอร์เทน และวงการโฆษณาไทยให้เติบโตต่อไปด้วย”
นายภาสกร ปานนอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี เสริมว่า
BKC เป็นบล็อกเชนที่มีปริมาณการใช้งานลำดับที่ 12 ของโลก รวมถึงการมีผู้ถือครอง NFT จำนวนมากบนบล็อกเชนเดิมอยู่แล้ว จึงเป็นโอกาสให้แฟนคลับมาสร้างงานบนบล็อกเชน ซึ่งมั่นใจในความปลอดภัย และแลกเปลี่ยนได้เร็ว ทำให้แฟนดอมแพลตฟอร์มดึงกลุ่มลูกค้าที่รู้เรื่องคริปโตในบรรดาผู้ใช้งานบล็อกเชนมาเพิ่มมูลค่าให้ NFT ของแพลตฟอร์ม Fandom ได้อีกต่อ
นางสาวสิริโสมย์เสริมว่า จากการเก็บข้อมูลในช่วงโควิดสร้างความแปลกใจให้อย่างมาก โดยพบว่าแฟนคลับยังมีกำลังซื้อสูง และมีหลายระดับ หากเป็นแฟนคลับนานกว่า 7 ปีขึ้นไป จะพร้อมสู้ตายเพื่อศิลปิน และพบด้วยว่าเเฟนคลับกลุ่ม First Jobber ใช้จ่ายมากถึง 30% ของเงินเดือนเพื่อสนับสนุนศิลปิน โดยไม่หวังอะไรตอบแทนนอกจากอยากเห็นศิลปินที่ชอบประสบความสำเร็จ
“เรานำรูปแบบ Fun to earn ซึ่งเป็นแนวคิด web 3.0 มาใช้ โดยจะไม่ขายของสะสม NFT ให้แฟนคลับอย่างเดียว แต่ให้ประสบการณ์ที่ดีไปด้วย เพราะพลังของ NFT ไม่ได้มีแค่การซื้อรูปภาพ หรืองานศิลปะ แต่คือการเพิ่มสิทธิพิเศษในสิ่งที่เหล่าแฟนคลับชื่นชอบอยู่แล้วจะกลายเป็นความต้องการตามมาภายหลัง”
สำหรับแอปพลิเคชั่น Fandom จะเริ่มเปิดให้ดาวน์โหลดในเดือน ส.ค.นี้ โดยช่วงเริ่มต้นจะมีศิลปินดัง และอินฟลูเอนเซอร์ด้านต่าง ๆ เข้าร่วม 20 คน มีบัญชีผู้ใช้งานที่เป็นกลุ่มแฟนคลับราว 1 แสนคน ภายในสิ้นปีนี้ ตั้งเป้ามีฐานแฟนคลับศิลปินกลุ่มต่าง ๆ เข้ามาอยู่ในแอป “แฟนดอม”
ไม่น้อยกว่า 20% มีส่วนแบ่งตลาด 5% หรือราว 150 ล้านบาท จากตลาดรวมมูลค่า 3,000 ล้านบาท ใน 4 ปี