โอท็อปใต้ยกทัพขาย 3 จังหวัด อีสาน กำลังซื้อหด “ราคายางดิ่ง-ฝนตกหนัก”

โอท็อปใต้

“โอท็อปใต้” วางแผนปี 2566 พลิกเกมเดินสายสัญจรอีสาน “หนองคาย-อุดรฯ-ร้อยเอ็ด” หลังพบกำลังซื้อในพื้นที่ถดถอย ราคายางลด-ฝนตกหนักต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวม “โอท็อปทั่วไทย” ฟื้นตัวเกินคาด

นายพงศ์สวัสดิ์ ยอดสุรางค์ ประธานโอท็อปไทย และประธานคณะกรรมการเครือข่ายโอท็อปจังหวัดสงขลา เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาวะผลิตภัณฑ์สินค้าโอท็อปไทยได้ฟื้นตัวขึ้นตามลำดับเข้าสู่ภาวะปกติ ตั้งแต่รัฐบาลประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นและเปิดประเทศ

โดยเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม 2565 ทางเครือข่ายโอท็อปไทยได้จัดกิจกรรมเป็นครั้งแรก ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จำนวน 10 วัน สามารถทำยอดขายได้ประมาณ 81.3 ล้านบาท จากที่มีผู้เดินทางเข้าไปร่วมงานประมาณ 64,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส และในพื้นที่ จ.สงขลา

รวมถึงมีชาวต่างชาติและมาเลเซียประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์โอท็อปที่มียอดขายอันดับต้น ๆ เป็นอัญมณี เครื่องประดับ ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาจะเป็นกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และอันดับ 3 คือกลุ่มเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย

ร้านค้าโอท็อปใต้

“งานโอท็อปครั้งแรกที่หอประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ปรากฏว่าทำยอดขายได้เติบโตขึ้นกว่า 1 เท่าตัว หากเทียบช่วงโควิด-19 ระบาด ตอนนั้นทำยอดจำหน่ายได้เพียง 40 ล้านบาท แต่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี” นายพงศ์สวัสดิ์กล่าว

นายพงศ์สวัสดิ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2565 ต้อนรับปีใหม่ 2566 ทางกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้จัดงานโอท็อปซิตี้ครั้งยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 17-26 ธันวาคม 2565 ที่เมืองทองธานี ซึ่งเป็นการจัดประจำปีของชาวโอท็อปไทย ประมาณ 3,000 บูทจากทั่วประเทศ

โดยวางเป้าทำยอดขายไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากดูทิศทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง น่าจะทำยอดขายเกินเป้า 1,000 ล้านบาท เพราะตอนนี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยกำลังกระเตื้องขึ้น ผู้ประกอบการอาชีพต่าง ๆ สามารถดำเนินธุรกิจไปตามปกติ ทั้งนี้ หากเทียบกับช่วงปีก่อนหน้านี้ที่มีสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด ยังสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 700 ล้านบาท ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

“สำหรับยอดขายสินค้าโอท็อปในพื้นที่ภาคใต้ ปัจจุบันกำลังซื้ออ่อนตัวลงมาก เพราะเกษตรกรในพื้นที่ประสบปัญหาราคายางพาราตกต่ำ เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะช่วง 2-3 วันที่ผ่านมามีฝนตกต่อเนื่องในปริมาณมาก ทำให้ไม่สามารถกรีดยางได้ และในส่วนยางที่กรีดได้ก็ราคาต่ำ ทำให้เกษตรกรรายได้ถดถอยและกำลังซื้อลดลง”

นายงพงศ์สวัสดิ์กล่าวต่อไปว่า ปี 2566 ทางเครือข่ายโอท็อปจังหวัดสงขลาได้วางแผนว่า ช่วงไตรมาสแรกเตรียมจะเดินสายสัญจรจัดงานโอท็อป ระหว่างวันที่ 20-29 มกราคม 2566 ที่ จ.หนองคาย, วันที่ 3-12 กุมภาพันธ์ ที่ จ.อุดรธานี วันที่ 17-26 กุมภาพันธ์ บริเวณหน้าห้างโรบินสัน จ.ร้อยเอ็ด

ร้านค้าโอท็อปใต้1

ทั้งนี้ ในแต่ละพื้นที่มีจำนวน 250 บูท ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 35 ล้านบาท และปิดท้ายไตรมาสแรก ระหว่างวันที่ 17-26 มีนาคม 2566 ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จำนวน 400 บูท คาดว่างานสัญจรแต่ละจังหวัดจะสามารถทำยอดขายได้เกินเป้า

“หลังเสร็จกิจกรรมการจัดงานโอท็อปสัญจรในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 แล้ว คณะกรรมการเครือข่ายฯจะมาจัดประชุมหารือสรุปผลและจัดทำแผนการจัดกิจกรรมงานโอท็อปครั้งที่ 2 ไตรมาส 2 ปี 2566 เพื่อดำเนินการต่อไป ตอนนี้ภารกิจสำคัญของชาวโอท็อปคือเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปากท้องเป็นภารกิจหลัก ซึ่งมีมากกว่าความกังวลเรื่องโควิด-19 ไปแล้ว”

นายกฤตนน ช่วยแท่น ประธานกลุ่มเครือข่าย OTOP จ.พัทลุง เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ทางกลุ่มเครือข่าย OTOP จ.พัทลุง ได้จัดทำกระเช้าของขวัญ เพื่อจำหน่ายที่ศูนย์จำหน่ายสินค้า OTOP อบจ.พัทลุง ระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2566

ซึ่งมีสินค้าให้เลือกกว่า 498 รายการ มีกระเช้าของขวัญสำเร็จรูป ราคาตั้งแต่ 300-2,000 บาท ให้เลือกตามความต้องการ รวมถึงได้นำไปวางจำหน่าย ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดพัทลุง และที่ว่าการอำเภอต่าง ๆ คาดว่าจะมียอดขายประมาณกว่า 1 ล้านบาทต่อวัน

สำหรับสินค้าที่นำมาวางขายตามจุดต่าง ๆ มี 5 หมวด มีหมวดสมุนไพร หมวดของใช้ของตกแต่ง ของที่ระลึก หมวดเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย หมวดอาหาร และเครื่องดื่ม และหมวดเบ็ดเตล็ด ส่วนสินค้าที่ขายดี คือข้าวสังข์หยด ผลิตภัณฑ์จากข้าวสังข์หยดพัทลุง ผลิตภัณฑ์จากกระจูด ผ้าทอ กล้วยกรอบแก้ว ปั้นขลิบ ปลาดุกร้า และ ฯลฯ

“การจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์โอท็อป จ.พัทลุง ซึ่งมีรายได้มากที่สุดของประเทศ โดยในปี พ.ศ. 2565 นั้นมียอดจำหน่ายมากกว่า 1,170 ล้านบาท ส่วนเรื่องผลิตภัณฑ์มีการพัฒนาคุณภาพเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปี 2565 มีผลิตภัณฑ์ระดับ 5 ดาวจำนวน 90 ผลิตภัณฑ์ ระดับ 4 ดาวจำนวน 82 ผลิตภัณฑ์ ส่วนระดับ 1-3 มีน้อย”