Box Office สหรัฐฟื้น ลุ้นยอดตั๋วพุ่งเท่าก่อนโควิด ปี 2019

Box Office
คอลัมน์​ : Market Move

หลังภาวะซบเซานานกว่า 3 ปี บ็อกซ์ออฟฟิศหรือเม็ดเงินจากการขายตั๋วภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกาก็ใกล้ที่จะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงปี 2562 หรือก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว

โดยนอกจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ทุนสร้างมหาศาลอย่างอวตาร : วิถีแห่งสายน้ำ, แอนท์-แมน และเดอะ วอสพ์ : ตะลุยมิติควอนตัม, ท็อปกัน : มาเวอริค ฯลฯ แล้วภาพยนตร์ทุนสร้างระดับกลางหลายเรื่อง อาทิ เมแกน และหมีคลั่งยังมีส่วนสำคัญในการดึงดูดผู้ชมจำนวนมากให้กลับมาชมภาพยนตร์ในโรง

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ทัพภาพยนตร์ทุนสร้างระดับกลางหลากหลายแนวที่ทยอยเข้าฉายในช่วงที่ผ่านมา กลายเป็นแม็กเนตสำคัญที่ช่วยดึงดูดผู้ชมและสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับวงการภาพยนตร์สหรัฐ ไม่แพ้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากสตูดิโอชื่อดัง ช่วยให้ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศฟื้นกลับมาจนใกล้จะเท่ากับตัวเลขของปี 2562 แล้ว

“พอล แดร์การาบีเดียน” นักวิเคราะห์อาวุโสด้านสื่อของบริษัทวิจัยคอมสกอร์ กล่าวว่า ไม่เพียงตอนนี้ยอดขายตั๋วชมภาพยนตร์ในสหรัฐเกือบจะกลับไปเท่ากับปี 2562 แล้วเท่านั้น แต่ปี 2562 ที่เป็นฐานเปรียบเทียบยังเป็นปีที่วงการภาพยนตร์ทำยอดขายตั๋วได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ ด้วยมูลค่าสูงถึง 1.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย

ทั้งนี้ตัวเลขของปี 2562 ถือเป็นฐานเปรียบเทียบสำคัญของวงการภาพยนตร์เช่นเดียวกับวงการอื่น ๆ เนื่องจากเป็นปีสุดท้ายก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19

นับตั้งแต่โรงภาพยนตร์ในสหรัฐเริ่มกลับมาเปิดบริการเมื่อปลายปี 2563 ยอดขายตั๋วในประเทศเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากการเติบโตทุกปี รวมถึงปี 2565 ที่ผ่านมาซึ่งยอดขายตั๋วขยับขึ้นมาอยู่ที่ 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 64% จากยอดขายในปี 2564 ที่ทำได้ 4.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ตัวเลข 7.5 พันล้านนี้ยังต่ำกว่าปี 2562 อยู่ถึง 34%

ด้านนักวิเคราะห์ในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ต่างลงความเห็นว่า การฟื้นตัวที่ค่อนข้างช้านี้ เป็นเพราะตลาดภาพยนตร์ยังขาดความหลากหลายของทั้งแนวภาพยนตร์และจำนวนโรงที่ฉายมากกว่าจะเป็นเพราะผู้บริโภคชาวอเมริกันไม่สนใจชมภาพยนตร์ในโรงแล้ว สะท้อนได้จากตัวเลขของภาพยนตร์ที่เข้าฉายมากกว่า 2,000 โรงนั้นลดลงจากปี 2562 ในสัดส่วนเดียวกับยอดขายตั๋วที่ลดลง

โดยช่วงระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค. สตูดิโอส่งภาพยนตร์เข้าฉายแบบวงกว้าง 18 เรื่อง ต่ำกว่าตัวเลขช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่มีภาพยนตร์เข้าฉายวงกว้าง 24 เรื่องอยู่ 25% ส่วนตัวเลขยอดขายตั๋วไปในทิศทางเดียวกัน โดยมียอดขายรวม 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าปี 2562 ที่มียอดขาย 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอยู่ 25% เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้สูงกว่าปี 2565 ที่มีภาพยนตร์เข้าฉายวงกว้างเพียง 16 เรื่อง สร้างรายได้จากการขายตั๋วไปแค่ 1.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่ในปี 2566 นี้เพียงแค่ช่วงไตรมาสแรกจำนวนภาพยนตร์ที่เข้าฉายในวงกว้างเริ่มกลับมาอีกครั้งแล้ว “ชอว์น ร็อบบินส์” หัวหน้านักวิเคราะห์ของ BoxOffice.com อธิบายว่า จำนวนภาพยนตร์ที่เข้าฉายในวงกว้างที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ ช่วยผลักดันให้ทั้งตลาดเติบโต

ขณะเดียวกัน พอล แดร์การาบีเดียน และ ชอว์น ร็อบบินส์ ต่างยืนยันว่า ทัพภาพยนตร์ทุนสร้างระดับกลาง-เล็กที่ทยอยเข้าฉายอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เนื่องจากตัวเลือกแนวภาพยนตร์ที่หลากหลายจะช่วยดึงดูดผู้ชมได้หลากหลายกลุ่มตามไปด้วย รวมถึงปีนี้ยังมีภาพยนตร์ที่ทำมาจับกลุ่มผู้ใหญ่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

สอดคล้องกับข้อมูลของบริษัทวิจัยคอมสกอร์ ที่เก็บข้อมูลยอดขายตั๋วชมภาพยนตร์ในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งแม้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ภาคต่อทั้งอวตาร : วิถีแห่งสายน้ำ (279.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ), แอนท์-แมน และเดอะ วอสพ์ : ตะลุยมิติควอนตัม (210.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ), พุซ อิน บู๊ทส์ 2 (128.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และครี้ด 3 (143.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จะพากันครองตำแหน่งหนังทำเงินท็อป 4 ของวงการ

แต่ภาพยนตร์ออริจินัลทุนสร้างไม่อลังการอย่างเมแกน (95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ), หมีคลั่ง (62.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ Jesus Revolution (49.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ต่างติดท็อป 10 ด้วยเช่นกัน โดยทั้ง 3 เรื่องทำรายได้รวมกันประมาณ 207.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่าแอนท์-แมนฯเล็กน้อย

นอกจากนี้ผลสำรวจความเห็นของผู้บริโภคชาวอเมริกันจำนวน 2,000 คน อายุ 15-69 ปี ยังพบว่า 33% จะไปชมภาพยนตร์ในโรงบ่อยขึ้น หากมีตัวเลือกภาพยนตร์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น ขณะที่ 75% ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่า ปีนี้มีแผนจะชมภาพยนตร์ในโรงให้บ่อยกว่าปีที่แล้ว

ซึ่งเมื่อดูกำหนดการเข้าฉายในช่วงเดือน เม.ย.-มิ.ย. 66 ซึ่งมีภาพยนตร์จ่อคิวเข้าฉายมากถึง 21 เรื่อง ทั้งภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ไม่ว่าจะเป็น Guardians of the Galaxy Vol. 3, Fast X, Transformers : Rise of the Beasts, และอื่น ๆ อีกทั้งภาพยนตร์ออริจินัลอีกหลายเรื่อง มีโอกาสที่จะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์สหรัฐคึกคักยิ่งขึ้นไปอีก

“ชอว์น ร็อบบินส์” กล่าวว่า การที่ผู้ชมเข้าไปชมภาพยนตร์ในโรงจะให้ผลบวกกับตลาดแบบลูกโซ่ เนื่องจากผู้ชมจะได้เห็นตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ทั้งที่กำลังฉายและกำลังจะเข้าโรง จึงเพิ่มโอกาสที่ผู้ชมเหล่านี้จะกลับมาดูเรื่องที่ได้ชมตัวอย่างไปอีกครั้งด้วย