“เพ็ทเลิฟเวอร์” ปูพรมสาขาชิงเค้กตลาดสัตว์เลี้ยงบูม

เพ็ทเลิฟเวอร์

“เพ็ท เลิฟเวอร์” เดินหน้าเปิดสาขารับตลาดสัตว์เลี้ยงโตต่อเนื่อง ลุยทั้งกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด ตั้งเป้า 5-10 สาขา ชูวันสต็อปช็อปปิ้ง-บริการครบเครื่อง สู้ศึกสิ้นปีตั้งเป้าโต 20%

นายวิโรจน์ ลิมตราจิตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีว่า พรีเมี่ยม เพ็ท สโตร์ จำกัด แฟรนไชส์ร้านจำหน่ายอาหารสัตว์และอุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงจากประเทศสิงคโปร์ ภายใต้ชื่อร้าน “เพ็ท เลิฟเวอร์ เซ็นเตอร์” และ “เพ็ท ซาฟารี” เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาธุรกิจสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มหันมาเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น ทำให้ตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงเติบโตมากขึ้นตามไปด้วย โดยคาดการณ์ว่าตลาดจะมีมูลค่ารวมประมาณ 40,000 ล้านบาท และมีโอกาสเติบโตเป็น 60,000 ล้านบาทได้ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า

นายวิโรจน์ ลิมตราจิตต์

เนื่องจากการเลี้ยงสัตว์นั้นไม่ใช่กิจกรรมระยะสั้นเพียงแค่ 1-2 ปี แต่อาจยาวนานถึง 15-20 ปี เช่น สุนัขและแมวทำให้ผู้เลี้ยงมีความผูกพันมากเหมือนเป็นผู้ปกครองสัตว์เลี้ยง ประกอบกับปัจจุบันการเลี้ยงสัตว์สามารถทำได้ง่าย เช่นเดียวกับอุปกรณ์หรืออาหารต่างหาซื้อง่ายขึ้น สะท้อนจากช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จะเห็นภาพของการออกสินค้าใหม่ ๆ ทั้งอาหารสัตว์ ขนม อุปกรณ์ของใช้ ไปจนถึงการเปิดร้านสินค้าสัตว์เลี้ยง และคลินิก ที่นำไปสู่การเติบโตของตลาด และจากตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง ทำให้มีผู้ประกอบการรายใหญ่กระโดดเข้ามาทำตลาดมากขึ้น และมีการแข่งขันที่สูงขึ้น

สำหรับ เพ็ท เลิฟเวอร์ เซ็นเตอร์ เป็นร้านเพตช็อปขนาดเล็ก ขนาด 50 ตร.ม. ภายในร้านจะมีสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร และบริการอาบน้ำ ตัดขน เน้นเปิดใกล้แหล่งชุมชน ขณะที่ เพ็ท ซาฟารี ที่เป็นเพตช็อปขนาดใหญ่ ประมาณ 600 ตร.ม. ซึ่งนอกจากการขายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงแล้ว ยังมีบริการอื่น ๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงด้วย อาทิ สปา-อาบน้ำ ตัดขน เบเกอรี่น้องหมา และการจำหน่ายสัตว์เลี้ยงหลายชนิด ทั้งสุนัข แมว แฮมสเตอร์ กระต่าย ฯลฯ รวมทั้งยังมีคลินิกรักษาสัตว์ เป็นต้น เน้นเปิดในห้างสรรพสินค้า ปัจจุบันทั้งสองแบรนด์มีสาขาอยู่ประมาณ 20 สาขา แบ่งออกเป็น เพ็ท เลิฟเวอร์ 17 สาขา และ เพ็ท ซาฟารี 3 สาขา อาทิ เซ็นทรัล อีสต์วิลล์, พาราไดซ์พาร์ค และไอคอนสยาม เป็นต้น

นอกจากนี้ ภายในร้านยังมีบริการอื่น ๆ เข้ามาเสริม เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า เช่น เจ้าของสัตว์เลี้ยงบางคนอยากจะจัดวันเกิดให้กับสัตว์เลี้ยง เราก็จะมีเค้กที่ออกแบบมาเพื่อสัตว์เลี้ยง โดยหน้าตาจะเหมือนกับเค้กของคน แต่รสชาติก็จะเป็นอีกรสชาติหนึ่ง ซึ่งพอเรามีบริการตรงนี้เข้ามาเสริมก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างครบวงจร

จุดแข็งของบริษัทอีกอย่างหนึ่งก็คือ การนำสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพทั้งในไทยและต่างประเทศมารวมไว้ในที่เดียว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเพิ่มความสะดวกให้กับเจ้าของสัตว์เลี้ยง ราคาสินค้าจะเริ่มต้นตั้งแต่ 30 บาท ไปจนถึงหลักหมื่น นอกจากนี้ ยังมีบริการช่องทางออนไลน์ ในลักษณะของ omni channel ที่ลูกค้าสามารถที่จะเข้ามาขอคำปรึกษา หรือสั่งซื้อสินค้าได้ผ่านทางเว็บไซต์บริษัท ลาซาด้า และช้อปปี้ เป็นต้น ซึ่งสัดส่วนภายในร้านจะแบ่งเป็น อาหารประมาณ 60% และสิ่งที่จำเป็น อาทิ แชมพู ปอกคอ สายจูง ฯลฯ ประมาณ 40%

นายวิโรจน์ยังกล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานจากนี้ไปว่า บริษัทยังคงเน้นในเรื่องของการขยายสาขาไปเรื่อย ๆ โดยในปี 2566 มีแผนขยายเพิ่ม 5-10 สาขา ซึ่งจะเป็นการขยายในกรุงเทพฯ ที่เป็นตลาดขนาดใหญ่ ส่วนในต่างจังหวัดปัจจุบันมีสาขาอยู่ที่ชลบุรีและศรีราชา และในอนาคตก็มีแผนที่จะขยายเพิ่มไปต่างจังหวัดด้วยเช่นกัน และยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพของสินค้าและการบริการเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการบริการที่ครบวงจร ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งจะมีการนำเอาเทคโนโลยี หรือว่าระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นยำในการจัดการสต๊อกสินค้า เพื่อลดความผิดพลาดในการทำงาน โดยปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้าเติบโตประมาณ 20% หรือเทียบเท่าก่อนโควิด จากเดิมเติบโตอยู่ที่ประมาณ 10%

“เราคิดว่าสิ่งที่ทำให้ลูกค้ามีความสุขเวลาเข้ามาซื้อสินค้าที่ร้านเรา คือการที่ได้รับการบริการที่ดี และได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว เพ็ท เลิฟเวอร์ เซ็นเตอร์ เป็นร้านเพตช็อปที่เราเน้นงานบริการ และมีสินค้าที่หลากหลาย หรือเรียกได้ว่าเป็น one stop shopping ลูกค้าเข้ามาแล้วสามารถจะหาสินค้าได้ครบทุกสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งแน่นอนว่าพนักงานภายในร้านของเราสามารถที่จะให้คำแนะนำกับลูกค้าได้อย่างถูกต้อง เพราะส่วนใหญ่พนักงานของเราจะเป็นคนที่เลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นส่วนที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี” นายวิโรจน์กล่าว