“ศรีนานาพร” ปูพรมสินค้าใหม่ รับไฮซีซั่น/บุกอาหารเสริมปั้น newS-curve

วิโรจน์ วชิรเดชกุล
วิโรจน์ วชิรเดชกุล

ศรีนานาพร รุกฆาตตลาดสแน็ก 3 หมื่นล้าน ชู “เจเล่-เบนโตะ” เป็นหัวหอก ประกาศทยอยส่งสินค้าใหม่รับไฮซีซั่น ส่งทีมออนกราวนด์ลงพื้นที่แจกสินค้าตัวอย่าง พร้อมผนึกช่องทางจำหน่ายค้าปลีกค้าส่งทั่วทิศ จัดโปรฯปั๊มยอด เร่งเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศ ลุยเวียดนาม ลาว กัมพูชา เมียนมา จีน เกาหลี กางโรดแมป บุกอาหารเสริม มุ่งสร้าง new S-curve ของบริษัทในอนาคต

นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจ 1 บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มเยลลี่คาราจีแนน เจเล่ บิวตี้, ปลาแผ่น เบนโตะ โลตัส ขาไก่ ฯลฯ

เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงแนวทางการรุกตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายที่เป็นไฮซีซั่นของตลาดสแน็ก ที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 3 หมื่นล้านบาทว่า ไตรมาส 4 ถือเป็นหน้าขายสำคัญ หรือไฮซีซั่นของธุรกิจสแน็ก เนื่องจากช่วงปลายปีจะมีเรื่องรื่นเริง มีเรื่องสังสรรค์ มีงานจัดเลี้ยงต่าง ๆ และมักจะมีสแน็กเข้าไปเกี่ยวข้องในหลายโอกาส

ปูพรมสินค้าใหม่รับไฮซีซั่น

นายวิโรจน์กล่าวว่า ดังนั้น ไตรมาส 4 บริษัทจึงมีแผนจะทยอยส่งสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดหลายรายการ เช่น เดือนพฤศจิกายนนี้จะมีการเปิดตัวเบนโตะใหม่อีก 2 รสชาติ และตามด้วยเจเล่ ชิววี่ เยลลี่ อีก 1 รายการ ที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ จากเมื่อช่วงปลายไตรมาส 2 ก็ได้มีการเปิดตัวสินค้าใหม่จำนวนหนึ่ง เช่น โลตัส ขาไก่ หนังไก่กรอบ รสหมาล่า ปูอัดกรอบ เป็นต้น เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาส 3 ที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาด

ขณะเดียวกันก็มีการจัดโปรโมชั่นในทุกช่องทาง ทั้งค้าปลีกค้าส่ง ไม่ว่าจะเป็น แม็คโคร, โก โฮลเซลส์, เซเว่นอีเลฟเว่น, ท็อปส์ ค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่ในต่างจังหวัด เช่น การลดราคา ซื้อ 2 แถม 1 เป็นต้น

Advertisment

และมีการวางสลอตโปรแกรมการจัดโปรโมชั่นไว้ค่อนข้างแน่น และจะมีการสลับกันไปในแต่ละสัปดาห์ เนื่องจากบริษัทมีสินค้าหลายรายการ นอกจากนี้ ก็จะยังมีการส่งทีมออนกราวนด์ไปแจกสินค้าตัวอย่างเพื่อกระตุ้นและสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภค

“ในแง่ของงบฯการตลาด งบฯโฆษณา หลัก ๆ ก็จะยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ซึ่งรวม ๆ แล้วจะอยู่ที่ 3% ของยอดขาย โดยไตรมาสสุดท้ายนี้จะเน้นไปที่เบนโตะ จากไตรมาส 2 ที่ให้น้ำหนักกับ เจเล่ บิวตี้ ซึ่งทั้ง 2 ตัวเป็นตัวที่ทำยอดขายได้มากสุดของบริษัท ปัจจุบัน เจเล่ บิวตี้ มีมาร์เก็ตแชร์ราว ๆ 78% จากตลาดรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท เช่นเดียวกับเบนโตะ ที่มีมาร์เก็ตแชร์ราว ๆ 72% จากตลาดรวมราว ๆ 3,000 ล้านบาท เช่นกัน”

ที่ผ่านมาภาพรวมของตลาดขนมขบเคี้ยวยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีรายได้รวมมากกว่า 2,890 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา (แบ่งเป็นไตรมาสแรก 1,420 ล้านบาท และไตรมาสที่ 2 ประมาณ 1,470 ล้านบาท) และมีกำไรมากกว่า 310 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 40%

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายการผลักดันกำไรเติบโตเป็นดับเบิลดิจิต และคาดว่าไตรมาส 4/2566 ผลการดำเนินงานจะทำสถิติสูงสุดในช่วงไฮซีซั่นของตลาดขนมขบเคี้ยว ที่มีปัจจัยหนุนจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งเบนโตะ และ เจเล่ ชิววี่ เยลลี่

Advertisment

เพิ่มสัดส่วนรายได้ตลาด ตปท.

นายวิโรจน์กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ 70% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น การที่จะทําให้ยอดขายเติบโตเป็น 2 ดิจิตทุกปี เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งก็คงจะลําบาก บริษัทจึงได้วางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างการเติบโตจากตลาดในต่างประเทศมากขึ้น

โดยตอนนี้บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจในประเทศไทยประมาณ 75% ต่างประเทศ 25% ซึ่งในจำนวนนี้เป็นรายได้ที่มาจากเวียดนามมากถึง 75% ส่วน 25% ที่เหลือมาจากอีก 35 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งจีนที่มียอดขายเพียง 100-200 ล้านบาท ซึ่งอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าตลาดในจีนยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก

โดยแผนงานการดำเนินงานจากนี้ไป ตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศให้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 30% ภายใน 3 ปี และในระยะยาวอีก 5 ปี จะขยับเป็น 40% โดยเฉพาะตลาดในเวียดนาม และที่ผ่านมาก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้ง YOY และ QOQ โดยมีพาร์ตเนอร์เป็นดิสทริบิวเตอร์ที่ช่วยกระจายสินค้าไปยังร้านค้าปลีกที่ครอบคลุม 1.7 -1.8 แสนร้านค้า และค้าส่งอีกประมาณ 400-500 ราย และที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตสินค้าในเวียดนาม (บริษัท เอส.ที.ฟู้ด มาร์เก็ตติ้ง จำกัด) โดยแบ่งเป็น 3 เฟส เพื่อผลิตสินค้าป้อนตลาดในเวียดนาม เริ่มจากขนมขึ้นรูป ปลาแผ่น และเครื่องดื่ม

“นอกจากเวียดนาม จากนี้ไปเราจะโฟกัสไปที่ สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา และสเต็ปถัดไปจะเป็นจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ตอนนี้ได้เริ่มเข้าไปเจรจากับดิสทริบิวเตอร์ในบางมณฑลที่จีน เกาหลี เป็นต้น”

ชู “อาหารเสริม” new S-curve

นายวิโรจน์ยังกล่าวถึงยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานจากนี้ไปว่า กลยุทธ์หลักของ ศรีนานาพร นอกจากการพัฒนาสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งสินค้ากลุ่มเดิม ที่มี เจเล่ บิวตี้ และเบนโตะ เป็นหัวหอกแล้ว ซึ่งจะออกมาในรูปของ new flavour new formula แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ การพัฒนาโปรกดักต์ที่จะมุ่งไปที่อาหารเสริม ซึ่งตั้งเป้าจะให้เป็น new S-curve ของบริษัทในอนาคต

โดยที่ผ่านมา โรงงานของศรีนานาพรได้ใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว และได้มีการศึกษาเรื่องอาหารเสริม มีการพัฒนาโปรดักต์มาเป็นระยะ ๆ หรือในส่วนของกลุ่มสแน็ก ก็จะมุ่งไปที่เรื่องของสุขภาพมากขึ้น อาจจะไปพวก plant based เป็นต้น เพื่อเสริมพอร์ตโฟลิโอ และเสริมความแข็งแกร่งของคอร์บิสซิเนส ทั้งเจเล่ เบนโตะ และเมจิ๊กฟาร์ม ที่มีอยู่เดิม

“คาดว่าสินค้ากลุ่มใหม่ที่เป็นอาหารเสริม หรือกลุ่มเฮลท์นี้ อาจจะได้เห็นตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพตลาดและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ๆ ด้วย แต่ที่เป็นนโยบายของบริษัทอย่างหนึ่งก็คือ ในแง่ของราคา จะต้องเป็นสินค้าที่จับต้องได้ ไม่แพง อยากให้เป็น พรีเมี่ยม แมส จะจับวัยรุ่นกับคนทํางาน รวมทั้งอาจจะมีสินค้า หรือสแน็กที่มีส่วนผสมของวิตามิน ที่ออกมารองรับความต้องการหรือจับกลุ่มเด็กด้วย”