
สัมภาษณ์
ถึงแม้การแข่งขันในตลาดไก่ทอดยังคงดุเดือด แต่ก็ยังมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด “อรรถวุฒิ” นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง เจ้าของร้านอาหารมากประสบการณ์ ผันตัวจากสายไอที นำเข้าแบรนด์ไก่ทอดเกาหลี “เพลิคาน่า” (Pelicana) เจ้าตำรับไก่คลุกซอสโคชูจัง ที่มีประวัติยาวนานกว่า 40 ปี มาเปิดตลาดในประเทศไทย โดยชูจุดแข็งด้านรสชาติต้นตำรับ วัตถุดิบคุณภาพ และซอสสูตรเฉพาะที่ผลิตเอง มั่นใจตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทย
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์ “อรรถวุฒิ นิธิกอบกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพลิคาน่า (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ถือสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์แบรนด์เพลิคาน่าในไทย ถึงเบื้องหลังการทำธุรกิจอาหารก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจร้านไก่ทอดเกาหลี พร้อมแนวทางการรุกตลาดจากนี้ไป
“อรรถวุฒิ” เล่าให้ฟังว่า แม้จะเคยโลดแล่นในสายงานไอทีมาก่อน แต่ด้วยความชื่นชอบในการลิ้มลองอาหาร ประกอบกับภรรยาเป็นเชฟมืออาชีพ จึงทำให้ได้ผันตัวสู่ธุรกิจอาหารอย่างเต็มตัว โดยจุดเริ่มต้นของแบรนด์เพลิคาน่า เกิดขึ้นจากที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ประเทศเกาหลี และได้ไปตระเวนชิมร้านไก่ทอดเจ้าดังหลากหลายแบรนด์
จนกระทั่งมาพบกับแบรนด์เพลิคาน่า ที่มีความโดดเด่น และแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ ไม่ว่าจะทั้งชื่อเสียงในวงการร้านไก่ทอดที่เปิดกิจการมากว่า 40 ปี จนได้รับการยกย่องให้เป็น “King of Chicken” ด้วยจำนวนสาขากว่า 3,000 แห่งทั่วโลก อาทิ เกาหลี สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไต้หวัน มาเลเซีย และจีน รวมถึงรสชาติที่มีความเป็นเอกลักษณ์และความหลากหลายของตัวซอสที่คิดค้นสูตรเองทั้งหมด จึงเป็นสาเหตุให้ตัดสินใจเลือกนำแบรนด์เพลิคาน่า (Pelicana) เข้ามาบุกตลาดไก่ทอดในประเทศไทย
โตพร้อมลูกค้า Gen Y/Z
“อรรถวุฒิ” กล่าวว่า เป้าหมายของเราคือ อยากให้เพลิคาน่ากลายเป็นแบรนด์ที่เติบโตไปพร้อมกับคนรุ่นใหม่ เหมือนที่แบรนด์ไก่ทอดชื่อดังเคยทำได้ จึงโฟกัสชิงฐานลูกค้า Gen Y และ Gen Z เป็นหลัก ตั้งแต่ Gen Y ช่วงต้น ๆ กลุ่ม First Jobber และคนทำงานรุ่นใหม่อายุ 22-30 ปี และ Gen Z ไม่ว่าจะทั้งนักเรียน นักศึกษา รวมถึงแฟนคลับของซีรีส์เกาหลี แฟนคลับศิลปิน K-Pop ทุกเพศทุกวัย
“เนื่องจากไม่เพียงมีศักยภาพ แต่ยังชอบเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ แตกต่างจากกลุ่ม Gen X ที่จะไม่ชอบลองอะไรใหม่ ๆ และมักจะยึดติดกับแบรนด์เดิม ๆ
โดยเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2568 เปิดตัวร้านไก่ทอดเพลิคาน่า สาขาแรกที่อาคาร สยามสเคปไป ซึ่งถือเป็นทำเลที่ตอบโจทย์และตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการที่จะเจาะมากที่สุด เนื่องจากด้านบนอาคารจะมีโรงเรียนอินเตอร์อยู่ 2 แห่ง มีจำนวนนักเรียนกว่า 8,000 คน จึงเหมาะที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์เพลิคาน่าในประเทศไทย โดยตั้งเป้าสาขานี้จะมียอดขายแตะ 30 ล้านบาทในปี 2568”
ขณะที่แผนการขยายสาขาในช่วงต้นตั้งเป้าขยายให้ครบ 20 สาขาภายใน 3 ปี (2568-2570) โดยในปี 2568 จะขยายเพิ่มอีก 5 สาขา เน้นทำเลในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และทำเลที่มีกลุ่มครอบครัวอาศัยอยู่ เช่น เลียบด่วน เพื่อเข้าถึงกลุ่ม Gen Y และ Gen Z
โดยวางงบฯการลงทุนไว้ราว 50-80 ล้านบาท หรือลงทุนต่อสาขาประมาณ 10-15 ล้านบาท ส่วนในปี 2569 ตั้งเป้าขยายเพิ่มอีก 10 สาขา ใช้งบฯลงทุนประมาณ 50-80 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2570 ยังไม่มีเป้าการขยายสาขาและงบฯลงทุนอย่างชัดเจน
ปลุกกระแส Word-of-Mouth
ด้านการตลาดเตรียมจะสร้างการรับรู้แบรนด์เพลิคาน่า ด้วยกลยุทธ์การสร้างแบรนด์แบบ Word-of-Mouth ผ่าน Social Media, Viral Marketing & PR เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นย้ำโพซิชั่นไก่ทอดเกาหลีแท้ ๆ ที่ทานได้ทุกวัน อร่อยเหมือนที่เกาหลี ในราคาคุ้มค่า
โดยมีไฮไลต์เป็น การออกแบบถุง Take Away ขนาดใหญ่ จำนวนถึง 2,000 ใบ ต้นทุนใบละ 400-500 บาท เพื่อสร้างจุดเด่นให้ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ได้เห็นต่างก็ต้องมอง และทำให้เกิดกระแสการพูดปากต่อปากว่า “แบรนด์อะไรทำไมถุงใหญ่จัง” ซึ่งจุดนี้ก็คาดว่าจะทำให้แบรนด์กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันก็ได้สร้าง “อาริ” (ARI) มาสคอตของแบรนด์เพลิคาน่า ที่มีรูปร่างเป็นไก่ เพื่อสร้างแบรนด์ให้โดดเด่น และสื่อถึงความทันสมัย สดใส และเป็นมิตร รวมถึงมองหาพรีเซ็นเตอร์ เพื่อมาเป็นตัวแทนในการสื่อสารทางการตลาด พร้อมเตรียมแผนด้าน Event และ Life Style Marketing เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อสร้างการรับรู้ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Gen Alpha
นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีแผนเพิ่มความสะดวกด้วยบริการดีลิเวอรี่ผ่าน Grab, Lineman และ Robinhood รวมถึงแผนเปิด Cloud Kitchen เพื่อขยายพื้นที่บริการ และอาจจะมีการเพิ่มบริการเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และจัดพื้นที่ Play Ground สำหรับเด็กในบางสาขา เพื่อให้เป็นพื้นที่สำหรับทุกคนในครอบครัวอีกด้วย
ปูพรม 10 ซอสรับมือแข่งขัน
“อรรถวุฒิ” กล่าวต่อว่า ปัจจุบันถึงแม้ว่าตลาดไก่ทอดในประเทศไทยที่มีมูลค่า 30,000 ล้านบาท เติบโตปีละ 8% จะมีการแข่งขันที่ดุเดือด แต่โดยส่วนตัวไม่กังวลในเรื่องนี้ เพราะสมัยนี้การสื่อสารทางการตลาดก็ทำได้ง่ายผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ประกอบกับจุดเด่นของตัววัตถุดิบซอสต่าง ๆ ที่เป็นการนำเข้ามาจากประเทศเกาหลีทั้งหมด จึงทำให้มั่นใจได้ว่าทุกคนที่มาทานจะได้ประสบการณ์เหมือนบินไปกินที่ประเทศต้นตำรับจริง ๆ
โดยในส่วนของซอส เราจะมีให้เลือกสูงถึง 10 รสชาติ อาทิ ซอสเผ็ด, ซอสฮันนี่, ซอสซิกเนเจอร์, ซอสสโมกี้ฮอต, ซอสมาโย และยังมีเมนูของทานเล่น อาทิ ซุปกิมจิ, ต๊อกบกกี, ชีสบอล รวมถึงเมนูโลคอลที่นำมาผสมผสานกับความเป็นเกาหลีที่จำหน่ายเฉพาะในไทย อย่างเมนู “ข้าวมันไก่ทอดเกาหลี” อีกด้วย ในราคาเริ่มต้นเพียง 99 บาท ไปจนถึง 700 บาท
ทั้งนี้ เกมการตลาดเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา คีย์สำคัญที่จะทำให้เราสามารถแข่งขัน และอยู่รอดในตลาดได้ คือเรื่องของโปรดักต์ หากเราเลือกใช้วัตถุดิบที่ดี และมีคุณภาพ ก็จะทำให้เรามีจุดแข็งที่จะสามารถครองใจผู้บริโภคในระยะยาวได้
อย่างไรก็ตาม จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว คาดว่าในปี 2568 บริษัทจะมีรายได้แตะ 100 ล้านบาท และตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะมีรายได้รวมประมาณ 500 ล้านบาท และจะมีส่วนแบ่งการตลาด 2.5% ของตลาดไก่ทอด ซึ่งธุรกิจอาหารประเภท QSR มีร้านไก่ทอดเป็นเซ็กเมนต์ที่สำคัญ ขณะที่เป้าหมายระยะยาวเราอยากจะเห็นเพลิคาน่าเป็นที่รู้จักในกลุ่มคนไทย และเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่คนนึกถึงเมื่อต้องการทานไก่ทอดเกาหลี