ธุรกิจซมพิษโควิด ปิดสาขา…ประคองตัว

จับกระแสตลาด

วันนี้แม้สถานการณ์ “โควิด-19” จะคลี่คลาย ธุรกิจการค้าต่าง ๆ เริ่มค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับขึ้นมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารที่เปิดตามศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ที่พบว่ามีลูกค้าทยอยกลับเข้ามาใช้บริการเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 70-80%

แต่อีกด้านหนึ่งกลับเริ่มมีภาพของการ “ปิดสาขา” เกิดขึ้น และอาจเป็นสัญญาณที่กำลังจะบ่งบอกถึงทิศทางบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ไม่มากก็น้อย

โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มมีความเคลื่อนไหวของร้านอาหารแบรนด์ใหญ่ค่ายดังตัดสินใจประกาศปิดสาขาให้เห็นเป็นระยะ ๆ

เริ่มจาก “วานิลลา” ร้านอาหารในเครือ S&P หรือบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศผ่านเฟซบุ๊กถึงการปิดสาขาที่มีอยู่ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยจะเริ่มจากร้าน Vanilla Cafeteria ที่เอ็มควอเทียร์จะเปิดให้บริการวันสุดท้ายในวันที่ 23 สิงหาคม และตามต่อด้วย Vanilla Brasserie ที่สยามพารากอน ในวันที่ 31 สิงหาคม

และก่อนหน้าที่ “วานิลลา” จะประกาศปิดให้บริการดังกล่าวก็ได้ขนสินค้า second hand สภาพดีไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์, จาน ชาม, อุปกรณ์ร้านอาหาร, พิมพ์ขนมเค้ก, หนังสือ, ของตกแต่ง ฯลฯ ออกมาประกาศขายผ่านเฟซบุ๊กไปล่วงหน้าแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้เอส แอนด์ พีจะรูดม่านปิดฉากร้าน “วานิลลา” ไปแล้ว แต่วันนี้ร้านอาหารแบรนด์ดังนี้ยังมีร้านอาหารแบรนด์ต่าง ๆ ในความดูแลอีกมากกว่า 520 สาขา ไม่ว่าจะเป็นร้านเอส แอนด์ พี เบเกอรี่ ช็อป, ร้านเอส แอนด์ พี เรสเตอรองท์ แอนด์ เบเกอรี่ ร้านทงคัตสึ MAISEN เป็นต้น

แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ยอมรับกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า “การตัดสินใจปิดสาขาของร้านวานิลลาดังกล่าว หลัก ๆ ก็เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะค่าเช่าพื้นที่ที่ค่อนข้างสูง แต่ในแง่ของยอดขายหรือรายได้ไม่ค่อยดี รวมทั้งร้านมีปัญหาขาดทุนสะสม”

ถัดมาเป็นคิวของร้านชาและกาแฟชื่อดัง The Coffee Bean & Tea Leaf ที่ประกาศผ่าน เฟซบุ๊กว่า เตรียมปิดให้บริการทุกสาขา โดยจะให้บริการวันสุดท้ายในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ โดยสาขาสุดท้ายที่จะปิดคือ สาขา MBK ชั้น G จากเดิมที่ร้านชาและกาแฟร้านนี้มีสาขาอยู่ 6-8 สาขา และส่วนใหญ่เปิดในห้างสรรพสินค้า อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล เอ็มบาสซี, สยามพารากอน, เอ็มบีเค, ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น

หากย้อนกลับไปก็จะพบว่า เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาก็มีร้านอาหารชื่อดัง ข้าวแกงถนัดแดก ของนายสหัสวรรษ ชอบชิงชัย หรือหม่อมถนัดแดก ยูทูบเบอร์ชื่อดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งข่าวปิดร้านรวดเดียว 6 สาขา เพราะผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา และยังเปิดให้บริการอีกกว่า 10 สาขา

แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการร้านอาหารแสดงทรรศนะกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลกระทบจากโควิด-19 ที่เกิดขึ้น รวมทั้งปัจจัยจากเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ไม่ดีนัก จะส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารจากนี้ไปอยู่ในภาวะชะลอตัวไปอีกสักระยะหนึ่ง และขณะนี้แม้ว่าร้านอาหารจะกลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติแล้ว แต่จากข้อกำหนดในเรื่องของ social distancing ที่ทำให้พื้นที่ขายลดลงไปโดยเฉลี่ยประมาณ 50% ดังนั้น จึงทำให้ทุกค่ายต้องหันมาให้ความสำคัญในการบริหารจัดการต้นทุนมากขึ้น

“จากนี้ไปเชื่อว่าบริษัทไหนที่มีอยู่หลายสาขา หลายแบรนด์ ก็อาจจะต้องหันมาโฟกัสเฉพาะสาขาหรือแบรนด์ที่มีอนาคต หรือแบรนด์ที่คาดว่าจะเติบโตได้จริง ๆ และตัดใจปิดสาขาหรือแบรนด์ที่ทำยอดขายไม่ได้ทิ้งไป”

นอกจากภาพของการปิดสาขาดังกล่าว อีกด้านหนึ่งก็มีความเคลื่อนไหวของ “เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป” เจ้าของร้านอาหารรายใหญ่ที่มีร้านอาหารอยู่ในพอร์ตโฟลิโอมากถึง 14 แบรนด์ ล่าสุดก็ได้มีการปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อให้สอดรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้ประกาศชะลอแผนการขยายสาขาแบรนด์รอง อาทิ มุฉะ บาย เซ็น, ฟู เฟเวอร์, แจ่วฮ้อน และเฝอ ปรับเปลี่ยนพื้นที่เปิดทางให้แบรนด์หลัก ขณะเดียวกัน ก็จะหันมาโฟกัสกับ 7 แบรนด์หลักที่มีศักยภาพในการสร้างการเติบโต อาทิ เซ็น, อากะ, ออนเดอะเทเบิล, โตเกียว คาเฟ่ ตำมั่ว, เขียง, ดินส์ และลาวญวน โดยจะมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงการนำโมเดล “คลาวด์คิตเช่น” และ “เวอร์ชวลคิตเช่น” หรือครัวกลางมาใช้รองรับการปรุงอาหารแบรนด์อื่นในเครือ เช่น ร้านลาวญวนหรือตำมั่วบางสาขาที่สามารถปรุงอาหารแบรนด์เขียงได้ เพื่อเพิ่มยอดขายในแต่ละสาขา ทั้งเป็นแพลตฟอร์มรองรับการขยายตลาดดีลิเวอรี่มากขึ้น

นี่เป็นความเคลื่อนไหวเพียงส่วนหนึ่งของการปรับตัวเพื่อจะก้าวไปข้างหน้าของค่ายใหญ่ที่ยังมีพละกำลังที่จะต่อสู้

จากก่อนหน้านี้ที่มีร้านอาหารรายเล็กรายน้อยที่ได้ทยอยโบกมือลาไปกว่า 5 หมื่นราย เนื่องจากปรับตัวรับมือไม่ทัน แม้จะกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง แต่จำนวนลูกค้ายังไม่กลับมา เปิดแล้วรายได้ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย สู้กับต้นทุนไม่ไหว ไหนจะค่าเช่าที่ ค่าเช่าร้าน ค่าน้ำค่าไฟ จ้างพนักงาน จึงต้องยอมโยนผ้าขาวยอมแพ้

ภาพที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเพียง “คลื่นลูกแรก” ที่พัดเข้าฝั่ง อีกไม่นานคลื่นลูกที่ 2 คลื่นลูกที่ 3 กำลังจะตามมา

เตรียมรับมือกันให้ดี