อนุทิน กางแผน 1 กรกฎาคม 2565 โควิดเข้าสู่โรคประจำถิ่น

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแผน 4 เดือน โควิดเข้าสู่โรคประจำถิ่น ย้ำประชาชนปฏิบัติตัวป้องกันโควิดเช่นเดิม การ์ดอย่าตก สวมหน้ากากอนามัย – ยังต้องตรวจ ATK

วันที่ 9 มีนาคม 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2565 ว่า

วันนี้มีการประชุมพิจารณาความพร้อมเพื่อเข้าสู่โรคประจำถิ่น ซึ่งมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การพิจารณาให้บริหารจัดการโควิด 19 แบบโรคประจำถิ่น (Endemic approach) ซึ่งเวลานี้มีหลายประเทศที่เตรียมการเปลี่ยนผ่านโควิด 19 ไปสู่โรคประจำถิ่น เช่น

ประเทศในทวีปยุโรป สำหรับประเทศไทยมีการเตรียมมาตรการในการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับระดับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงทุกมิติ อาทิ การเดินทางเข้าประเทศไทยตามโปรแกรม Test & Go ที่มีเงื่อนไขด้านสุขภาพพร้อมกับการอำนวยความสะดวกให้กับนักเดินทางต่างชาติและคนไทย ช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ

อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่โรคประจำถิ่น มีการจัดเตรียมแผนหลักๆ คือ 4 เดือน โดยมีแนวทางครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเตียง การรักษาพยาบาลมีพร้อม อัตราความรุนแรงของโรคควบคุมได้ จำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ภายใต้อัตราส่วนของสากล สอดคล้องกับมาตรฐานองค์การอนามัยโลก มียารักษาพร้อม การเข้าถึงยาได้อย่างรวดเร็ว การให้ยาอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ครอบจักรวาล ที่สำคัญการเตรียมเข้าสู่โรคประจำถิ่น

อีกทั้ง ประชาชนต้องปฏิบัติตามาตรฐานป้องกันโรคเช่นเดิม ทั้งมาตรการ VUCA ประกอบด้วย V-Vaccine, U-Universal Prevention, C-Covid-19 free setting และ A-ATK ซึ่งพยายามทำให้ประชาชนมีความเข้าใจว่า หากทุกคนได้รับวัคซีนครบถ้วน โดยเฉพาะบูสเตอร์โดส จะลดความรุนแรงได้

นายอนุทิน กล่าวต่อถึง กรณีหากเข้าสู่โรคประจำถิ่น อย่างผับ บาร์ คาราโอเกะ จะสามารถเปิดได้ แต่จะมีรายละเอียดขั้นตอนที่จะมีแผนดำเนินการออกมา

ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงรายละเอียดแผนการเข้าสู่โรคประจำถิ่น ว่า คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้เห็นชอบแผนรองรับการเข้าสู่ Endemic approach โดยแบ่งออกเป็น 4 เดือน เรียกว่า 3 บวก 1 (4 ระยะ) ดังนี้

ระยะที่ 1 (12 มี.ค.-ต้นเม.ย.) เรียกว่า Combatting ต้องออกแรงกดตัวเลขไม่ให้สูงกว่านี้ เป็นระยะต่อสู้ เพื่อลดการระบาด ลดความรุนแรงลง โดยมีมาตรการต่างๆ การดำเนินการให้กักตัวลดลง ระยะที่ 2 (เม.ย.-พ.ค.) เรียกว่า Plateau คือ การคงระดับผู้ติดเชื้อไม่ให้สูงขึ้น ให้เป็นระนาบจนลดลงเรื่อยๆ

ระยะที่ 3 (ปลาย พ.ค.-30 มิ.ย.) เรียกว่า Declining การลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงให้เหลือ 1-2 พันราย และอีกบวก 1 หรือระยะ 4 ตั้งแต่ 1 ก.ค.2565 เป็นต้นไป เรียกว่า Post pandemic คือ ออกจากโรคระบาด เข้าสู่โรคประจำถิ่น โดยแผนดำเนินการทั้งหมดจะต้องการให้เกิดภายใน 4 เดือน

ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุเสริมว่า สำหรับการควบคุมอัตราการเสียชีวิตเพื่อเข้าสู่โรคประจำถิ่น ต้องไม่เกิน 1 ในพันราย โดยปัจจุบันเฉลี่ย 0.19% จนถึง 0.2% แต่ถ้าเข้าสู่โรคประจำถิ่นต้องประมาณ 0.1% ปัจจุบันยังไม่ถึงเป้าที่กำหนด เพราะคนเสียชีวิตส่วนใหญ่เป็น 608 ซึ่งต้องลดให้ได้ 0.1% ให้ได้ครึ่งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การตรวจเจอโควิดที่เสียชีวิตอาจไม่ใช่โควิด เพราะหลังๆมีโรคประจำตัว อย่างไตวาย มีภาวะติดเตียงไม่มีคนดูแล โรคมะเร็งระยะสุดท้าย จึงต้องเคลียร์ตัวเลขเสียชีวิตตรงนี้ว่า สาเหตุเท่าไหร่ ซึ่งอาจลดลงได้ 20-30% สิ่งสำคัญกลุ่ม 608 ต้องเร่งฉีดวัคซีนโควิดให้กลุ่มนี้ อย่างกลุ่มติดเตียง ก็ไม่อยากพาไปฉีด เพราะกลัวเป็นไข้ และหลายคนเข้าใจว่าอยู่กับบ้านไม่น่าติด เรื่องนี้จึงต้องเร่งสร้างความเข้าใจ

สรุป วันที่ 1 ก.ค.65 เป็นต้นไป โควิดจะเข้าสู่โรคประจำถิ่น แต่ต้องเป็นไปตามแผนมาตรการที่วางไว้