![NISSAN โทชิฮิโระ ฟูจิกิ](https://www.prachachat.net/wp-content/uploads/2024/08/NISSAN-728x485.jpg)
คอลัมน์ : สัมภาษณ์
หลังจากเข้ามารับตำแหน่งนายใหญ่ค่ายนิสสัน เมื่อต้นปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา สำหรับ “โทชิฮิโระ ฟูจิกิ” ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และอาเซียน ท่ามกลางกระแสความท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การเข้ามารุกตลาดของค่ายรถยนต์หน้าใหม่ ยอดขายที่หดหาย ทำให้ตัวแทนจำหน่ายที่มีการผลัดเปลี่ยนลดลง
รวมทั้งกระแสการลดกำลังผลิต การย้ายฐานผลิตของค่ายรถยนต์ต่าง ๆ โดยเฉพาะค่ายญี่ปุ่น แน่นอนว่า เพื่อสร้างความมั่นใจและยืนยันความชัดเจน “ฟูจิกิ” เปิดโอกาสให้ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ในประเด็นต่าง ๆ และยังได้ตอกย้ำความสำคัญของประเทศไทยจะเป็นอย่างไรไปติดตามกัน
Q : ชูนโยบาย 4 คีย์หลัก
นิสสันมุ่งให้ความสำคัญกับ 4 เรื่องสำคัญ 1.การสร้างแบรนด์ แบรนด์นิสสันเป็นที่รู้จักในลูกค้าไทยเป็นอย่างดี มากกว่า 70 ปี นิสสันตั้งเป้าที่จะสร้างแบรนด์ให้ e-Power ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการขับขี่แบบไฟฟ้า 100% มีระบบขับเคลื่อนที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร เป็นที่รู้จักในตลาดอย่างกว้างขวางต่อไป 2.การส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่น่าตื่นเต้นในเดือนสิงหาคมนี้ นิสสันมีการอัพเกรดนาวาร่าใหม่เพิ่มความความหรูหรา-ทันสมัย แต่คงไว้ซึ่งดีเอ็นเอของความทนทานพร้อมลุยทุกสถานการณ์เช่นเดิม และเรายังได้เตรียมรถรุ่นใหม่แนะนำออกสู่ตลาดในช่วง 3 ปี จากนี้อีก 3-5 รุ่นด้วย
3.การสร้างความแข็งแรงให้เครือข่ายผู้จำหน่าย เพราะนิสสันถือว่าเครือข่ายผู้จำหน่ายคือสินทรัพย์ของเรา เราให้คุณค่าในการสร้างความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ของเราตลอดทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนและซัพพลายเชน ซึ่งแน่นอนว่า ต้องรวมถึงผู้จำหน่ายของเราด้วย 4.การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า โดยยังคงมุ่งมั่นจะนำความสุขมาสู่คนไทยต่อไป แน่นอนว่า เรื่องธุรกิจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ในขณะเดียวกันการรับใช้สังคมก็เป็นสิ่งที่สำคัญพอกัน สถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราก็ยังคงที่จะเดินหน้าและอยู่เคียงข้างคนไทยต่อไป
Q : ขยับส่วนแบ่งตลาดเป็น 3%
จากตัวเลขที่ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา นิสสันมียอดขายประมาณ 5,000 คัน แต่เร็วนี้เราจะมีรถใหม่อย่างนาวาร่า นิสสันยังได้เตรียมรถรุ่นใหม่แนะนำออกสู่ตลาดในช่วง 3 ปี จากนี้อีก 3-5 รุ่นด้วย ซึ่งคาดว่า รถรุ่นนี้จะเป็นตัวสำคัญที่ผลักดันให้นิสสัน มีส่วนแบ่งทางการตลาดไปอยู่ที่ 3% จากปัจจุบันเรามีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 2.2%
สำหรับยอดขายที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเกิดจากหลายปัจจัยทั้งสภาพเศรษฐกิจ ความท้าทายของตลาดที่มีเพิ่มมากขึ้น ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หรืออาจจะเป็นปัญหาที่มาจากนิสสันเอง เช่น การตลาด หรือระบบผู้จำหน่าย แต่จากแผนงานที่นิสสันวางไว้ เราก็หวังว่าหลังจากที่มีการแนะนำโมเดลใหม่สู่ตลาด และหวังว่ายอดขายของนิสสันจะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้น และนี่ก็เป็นงานหินของเรา ท่ามกลางสภาพตลาดที่มีความผันผวนสูง
Q : โมเดลเพิ่ม แชร์เพิ่มแน่นอน
ต้องบอกว่าสถานการณ์สิ่งแวดล้อมยังไม่แน่นอนสักเท่าไร การแข่งขันในตลาดมีค่อนข้างสูง วันนี้อาจจะเป็นไปได้ยากกับเป้าหมายที่เราคาดหวังส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 3% ในปีนี้ ที่ผ่านมานิสสันอาจจะพุ่งเป้าไปที่เป้าหมายส่วนแบ่งทางการตลาดระดับ 2 ดิจิตมากเกินไป ประกอบกับการมีโมเดลไม่มากพอ การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่จากนี้ เราหวังว่าจะช่วยผลักดันยอดขายให้ดีขึ้น นิสสันจะพยายามพัฒนาไปสู่อนาคตที่ดี
Q : ลงทุนชิ้นส่วนดันไฮบริดเพิ่ม
จากเงื่อนไขในการลงทุนของมาตรการสนับสนุนรถไฮบริดใหม่ของรัฐบาลนั้น จะเห็นว่าในส่วนของชิ้นส่วนหลัก (Core Components) ที่มีมูลค่าสูง เช่น Integrated Inverter, Traction Motor หรือ Reduction Gear นิสสันจะมีการประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาในเกณฑ์สำคัญที่ต้องการผลิตในประเทศ และลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งยังมีเรื่องของปริมาณ CO2 ต่อกิโลเมตร ที่ต้องวางแผนจะดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกำหนดต่อไป
แน่นอนว่า นิสสันจะมีการลงทุนสำหรับมาตรการไฮบริดเพิ่ม และเป็นการลงทุนที่มีมูลค่ามากกว่า เงินลงทุนขั้นต่ำที่ 3,000 ล้านบาทตามรัฐบาลกำหนดไว้ด้วย และเราเชื่อว่า มาตรการภาษีไฮบริดจะช่วยให้นิสสันในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น (OEM) รักษาความสามารถในการแข่งขันได้
Q : รุ่นใหม่ไม่จำกัดแค่ e-Power
แน่นอนว่า ในปี 2568 เป็นต้นไป นิสสันมีแผนจะแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาด ทั้งในส่วนของรุ่นที่ประกอบในประเทศ และรถนำเข้า ออกสู่ตลาดประเทศไทย 3-5 รุ่น ภายในระยะเวลา 3 ปี จากนี้ (2568-2570) และแน่นอนว่า การพัฒนารุ่นใหม่จะไม่จำกัดเฉพาะ e-Power เท่านั้น และต้องมีการลงทุนที่เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน 3,000 ล้านบาทด้วย และแน่นอนว่า โรงงานของนิสสันในประเทศไทยไม่ได้ผลิตรถเพื่อรองรับตลาดในประเทศเท่านั้น แต่เรายังมีการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ มากกว่า 100 แห่ง ในส่วนของการลงทุนจึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาให้รอบด้านด้วย
Q : เล็งนำ EV เสริมตลาด
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจว่า นิสสันอาจจะนำเข้ารถยนต์จากจีนเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยนั้น ถือเป็นอีกทางเลือก ต้องพิจารณา และนิสสันไม่ได้ปิดกั้นแนวทางนี้แต่อย่างใด สิ่งสำคัญนิสสันพิจารณาออปชั่นอะไรที่เหมาะสม ก็สามารถทำได้
ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าแต่ละตลาดมีความแตกต่างกัน แต่ประเด็นสำคัญคือ ความเร็ว นิสสันต้องดำเนินงานอย่างรวดเร็วภายใต้ความสำคัญกับ 4 เรื่องสำคัญ การสร้างแบรนด์, การส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่น่าตื่นเต้น, การสร้างเครือข่ายผู้จำหน่ายที่แข็งแกร่ง, การเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า
Q : เร่งฟื้นผลประกอบการ
หากนิสสันไม่เห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ชัดเจน คงไม่ลงทุน แต่การที่นิสสันตัดสินใจลงทุนหมายความว่า นิสสันมีความชัดเจนในการพลิกฟื้นธุรกิจ และสิ่งสำคัญสำหรับนิสสันคือ ประเทศไทยไม่ใช่แค่ศูนย์กลางการผลิตสำหรับตลาดภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางการส่งออกอีกด้วย ส่วนยอดขายลดลง นิสสันทราบดี ทุกคนกำลังเผชิญกับความท้าทาย
ในส่วนของผู้แทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) นั้น นิสสันกำลังทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนผู้จำหน่าย และหนึ่งในจุดแข็งของเราคือเรามี UIO (Unit in Operation) ที่แข็งแกร่งเพื่อสนับสนุนบริการหลังการขายซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับผู้จำหน่ายมากกว่าการขายรถยนต์และนิสสันยังมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้จำหน่ายอีกด้วย
ปีที่ผ่านมา นิสสันมีโชว์รูมและศูนย์บริการอยู่ที่ 161 แห่ง ขณะที่ปีนี้ เหลือ 141 แห่ง วันนี้ดีลเลอร์ที่มีอยู่ปัจจุบันไม่ได้ปิด แต่อาจจะมีบางรายที่ลดขนาดลงไปบ้าง แต่เป็นหนึ่งในแผนงานหลักที่ต้องการสร้างความแข็งแรงให้กับดีลเลอร์ นิสสันมองว่าปัญหาวันนี้ไม่ได้อยู่ที่มีตัวสินค้า แต่อยู่ที่การบริหารจัดการมากกว่า นิสสันอยู่ในประเทศไทยมาถึง 71 ปี นิสสันมีความสุขที่ได้รับใช้สังคมไทย และจะยังคงอยู่ที่ประเทศไทย แน่นอนว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีทั้งเวลาที่ดีและไม่ดี แต่นิสสันยังยืนยันว่าจะอยู่ที่ไทย และหวังว่าคนไทยจะยังมีความสุขที่ได้ขับรถนิสสัน
สุดท้าย โทชิฮิโระ ฟูจิกิ ทิ้งท้ายว่า ผมต้องการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจเป็นสำคัญ นอกจากนั้นยังมองว่าการตอบแทนสังคมไทย ทำให้ลูกค้าชาวไทยมีความสุขเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน นิสสันอยู่ในประเทศไทยมากว่า 70 ปี และการเติบโตของเรามาจากการสนับสนุนของคนไทย เมื่อนิสสันอยู่ได้ มีการจ้างงานท้องถิ่น นิสสันจึงมองไปที่ระยะยาวมากกว่าการคิดถึงกำไรเพียงช่วงระยะสั้น ๆ
และแม้ว่า การเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้ จะมีความกดดันสูงมากก็ตาม