ดราม่าเที่ยวไทย

Photo by Jack TAYLOR / AFP
คอลัมน์ : สามัญสำนึก
ผู้เขียน : สันติ จิรพรพนิต

แค่เดือนแรกของปี 2566 ประเทศไทยมีประเด็นมากมายเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ออกอยู่ในทางลบซึ่งมาจากทั้งหน่วยราชการเอง และภาคเอกชน

รวมถึงคอมเมนต์ต่าง ๆ ของคนไทยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

สวนทางกับแผนกระตุ้นท่องเที่ยว รองรับชาวต่าวชาติที่คาดว่าจะแห่เข้าเมืองไทยมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว

โดยเฉพาะชาวจีนที่เดินทางเข้ามาจำนวนมาก และเร็วกว่าที่ประเมิน หลังทางการจีนผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 อนุญาตให้พลเมืองออกนอกประเทศได้

ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อรับมือและอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว สร้างความประทับใจให้กลับมาเที่ยวอีกครั้ง หรือบอกต่อเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง ไม่ต่างจากการช่วยประชาสัมพันธ์ที่ได้มาฟรี ๆ

แต่อีกทางกลับเกิดประเด็นดราม่าไม่หยุดหย่อน ทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทยอย่างน่าเสียดาย

มาแรงรับต้นปียกให้ตำรวจรับจ็อบให้อภิสิทธิ์นักท่องเที่ยวสาวจีนแบบ “VVIP” ทั้งไปรับถึงเครื่องบินและขับรถนำขบวน

กรณีนี้อาจมองได้ในมุมความไม่เหมาะสม การใช้อภิสิทธิ์

ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติลงดาบทันทีที่ทราบเรื่อง

จากนั้นไม่นานเกิดเรื่องดาราสาวไต้หวัน แฉผ่านโซเชียลกล่าวหาว่าตำรวจตั้งด่านรีดไถเงิน ในข้อหาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า

ผลสรุปเบื้องต้นมีเจ้าหน้าที่ในกลุ่มรับสารภาพว่าทำจริง จนถูกดำเนินคดีทั้งชุดที่ตั้งด่านตรวจ และผู้บังคับบัญชาประจำโรงพักโดนสั่งย้ายอุตลุด

ส่วนหลักฐานภาพจากกล้องติดหมวกของตำรวจถูกลบไปเรียบร้อย แต่ทีมสอบสวนไม่ฟันธงว่าเจตนาลบ หรือด้วยเวลาที่ผ่านมานานแล้วจึงถูกบันทึกซ้ำทับคลิปเดิม

โดยตำรวจไทยประสานกับตำรวจไต้หวันให้ร่วมสอบปากคำผู้ร้องเรียน เพื่อหาข้อเท็จจริง

ถัดมาไม่นานเกิดกรณีการ์ดสถานบันเทิง ย่านพัทยา ทำร้ายนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย

ที่น่าตกใจคือการ์ดสถานบันเทิงดังกล่าวไม่ใช่เพิ่งก่อเหตุเป็นครั้งแรก

นี่ยังไม่นับกรณีเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวเรื่องราคาสินค้า หรือบริการ โดยเฉพาะกลุ่มรถรับจ้างทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นแทบไม่มีความพยายามแก้ไข หรือปราบปราม ยิ่งการเอาเปรียบเรื่องค่าโดยสารเป็นปัญหายืดเยื้อมาหลายสิบปี

ไม่เพียงแต่ต่างชาติ แม้คนไทยเองหากทะเล่อทะล่าไปใช้บริการในเมืองท่องเที่ยวบางแห่ง มีโดนฟันหัวแบะเหมือนกัน

ล่าสุดกับกรณี “คิม จินยอง” ยูทูบเบอร์จากเกาหลีใต้ ซึ่งโด่งดังจากการเข้าร่วมรายการหาคู่ “Single’s Inferno 2” (โอน้อยออก ใครโสดตกนรก 2) ที่รีวิวการขึ้นรถเมล์ในกรุงเทพฯ เจอจราจรติดขัดใช้เวลานานราว ๆ 2 ชั่วโมง กว่าจะถึงจุดหมาย

พร้อมแนะนำคนดูว่าหากมาเมืองไทย ควรเลี่ยงไปใช้พาหนะอื่นในการเดินทาง

ถึงจะออกมาในทางลบบ้างแต่ไม่รุนแรงขนาดรับไม่ได้ เพราะนี่คือข้อเท็จจริงที่คนไทยเผชิญอยู่ทุกวัน

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือบรรดาคอมเมนต์ต่าง ๆ ของคนไทย แม้ส่วนใหญ่เข้าใจได้ถึงความหงุดหงิดที่ต้องติดแหง็กบนถนน

แต่บางส่วนออกมาเหน็บแนมทำนองว่า ถ้าลำบากก็ไปเที่ยวที่อื่น ๆ ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้สะท้อนแนวคิดของคนไทยบางส่วน ที่ไม่ยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์หากไม่ตรงกับความคิดของตน

นอกจากไม่ยอมรับแล้วยังไม่คิดพัฒนาให้ดีขึ้นด้วย

คล้ายกับกรณีมีคนบางส่วนที่อาจไม่พอใจกับสภาพประเทศในปัจจุบันหลาย ๆ เรื่อง กลับมีฝ่ายตรงข้ามออกมาไล่พ้นประเทศ หรือให้ไปอยู่ที่อื่น

แทนที่จะตรึกตรองว่าสิ่งที่วิจารณ์นั้นถูกต้องหรือไม่ พัฒนาให้ดีขึ้นได้หรือไม่ และมีเงื่อนไขใดทำให้ผู้บริหารประเทศแก้ไม่ได้

จะได้ช่วยกันหาทางออกเพื่อทำให้ประเทศไทยที่ดีอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ยิ่งดีขึ้นและน่าอยู่มากขึ้น

จะมิดีกว่าหรอกหรือ