
คอลัมน์ : SD TALK ผู้เขียน : ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ https://tamrongsakk.blogspot.com
หัวหน้าหลายคนคงเคยเจอกับปัญหาลูกน้องบางคนที่เป็นตัวแสบ แบบมือวางอันดับหนึ่งที่ชอบลา (งาน) อยู่เรื่อย ๆ ใคร ๆ เขาชอบหมาชอบแมว แต่ลูกน้องประเภทนี้ชอบลาซะงั้น ?
วันดีคืนดีก็มาขอลาพักร้อนตอนที่มีงานด่วนงานเร่งจะต้องทำให้เสร็จภายในเดือนนี้, โทร.มาลาป่วยเดือนละอย่างน้อย 2-3 วัน โดยบอกว่านอนพักอยู่บ้านไม่ได้ไปหาหมอ, ลากิจไปช่วยงานบวชเพื่อน ฯลฯ
เหมือนลูกน้องทำงานประจำให้เป็นงานอดิเรกไซด์ไลน์ยังไงก็ไม่รู้
ปัญหาทำนองนี้ผมว่าจะเป็นตัวชี้ภาวะผู้นำในการบริหารจัดการสำหรับคนที่เป็นหัวหน้าได้เป็นอย่างดีเลยครับ !
หัวหน้าบางคนก็จะอนุญาตทุกครั้งที่ลูกน้องมาขอลา โดยไม่เคยดูด้วยซ้ำไปว่าที่ลูกน้องมาลานั้นมีเหตุผล ข้อเท็จจริงรองรับเหมาะควรหรือไม่ หรือถ้าอนุญาตให้ลูกน้องลาไปแล้วจะเกิดปัญหาอะไรในงานตามมาบ้างไหม เช่น
– ลูกน้องมาขอใช้สิทธิลากิจ แต่จริง ๆ แล้วคือไปเที่ยว
– ลูกน้องลาป่วยแต่หัวหน้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้ป่วยจริง
– ลูกน้องมาขอลาพักร้อนไปต่างประเทศ โดยมายื่นใบลาพักร้อนวันนี้พร้อมตั๋วเครื่องบิน (หรือแพ็กเกจทัวร์) แบบหักคอหัวหน้า พร้อมทั้งบอกว่าพรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางแล้ว ทั้ง ๆ ที่พรุ่งนี้มีงานด่วนที่ลูกน้องต้องรับผิดชอบทำให้เสร็จ
– ฯลฯ
ถ้างั้นหัวหน้าควรทำไงดีกับลูกน้องประเภทนี้ ?
แบบนี้ดีไหมครับ
1.ทำความเข้าใจให้ตรงกันในทีมงานเรื่องการลา : หัวหน้าควรมีการประชุมชี้แจงให้ลูกน้องในทีมเข้าใจตรงกัน ในหลักการลาว่าหัวหน้าจะเป็นคนพิจารณาการลาของสมาชิกในทีมงานตามข้อมูล ข้อเท็จจริง และจะต้องตรงกับประเภทของการลา เช่น การลาป่วยต้องเป็นการเจ็บป่วยจริง หรือการลากิจก็ต้องเป็นความจำเป็นที่จะต้องไปทำกิจธุระด้วยตัวเองจริง ๆ ไม่สามารถมอบหมายให้ใครไปทำแทนได้ เช่น ลากิจไปแต่งงาน หรือลากิจไปรับปริญญา ไม่สามารถมอบหมายให้ใครไปได้ เป็นต้น
ถ้าเป็นการลาที่ไม่ใช่เรื่องจริง หรือลาผิดประเภท เช่น ลาป่วยเพราะแฮง เมาค้างจากเมื่อคืนตื่นเช้าไม่ไหว หรือลากิจเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ อย่างนี้จะไม่ได้รับการอนุมัติการลา และถือเป็นการขาดงานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ก็ต้องโดนหนังสือตักเตือน
ที่สำคัญก็คือหัวหน้าจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดี และไม่ลาผิดประเภทเสียเองนะครับ
2.ไม่อนุมัติเมื่อมีการลาที่ไม่ถูกต้อง : เมื่อแจ้งให้ทุกคนในทีมทราบแล้วพบว่าลูกน้องคนไหนลาผิดประเภท หรือแจ้งลาเป็นเท็จ เช่น ตอนเช้า โทร.มาลาป่วย บอกว่าไม่ได้ไปหาหมอแต่นอนพักอยู่ที่หอพัก แต่พอหัวหน้าไปเยี่ยมตอนเย็นแล้วพบว่าลูกน้องนั่งซดเบียร์อยู่ใต้ถุนหอพัก อย่างนี้ก็ต้องออกหนังสือตักเตือนเรื่องแจ้งลาป่วยเท็จ และไม่จ่ายค่าจ้างในวันที่แจ้งลาป่วยเท็จ (no work no pay) ซึ่งถือเป็นความผิดทางวินัย หัวหน้าไม่ควรปล่อยเลยตามเลย เพราะอ้างว่าอนุญาตให้ลาป่วย (ด้วยวาจาทางโทรศัพท์) ไปแล้วเมื่อตอนเช้า
เพราะกรณีอย่างนี้หัวหน้ายกเลิกการอนุมัติได้ครับ เมื่อพบว่าลูกน้องแจ้งป่วยเท็จ ถ้าหัวหน้าปล่อยเลยตามเลยก็จะเกิดลัทธิเอาอย่างแบบ me too จากลูกน้องคนอื่น ๆ ตามมา อย่างงี้ก็วุ่นวายขายปลาช่อนเหมือนเดิม
ตรงนี้คือภาวะผู้นำของหัวหน้าที่จะต้องมีการปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อส่งสัญญาณให้ลูกน้องรู้ว่าฉันไม่ยอมรับการลาเก๊ ๆ แบบนี้อีกต่อไป
3.อนุมัติเมื่อมีการลาที่ถูกต้อง : ส่วนลูกน้องที่มีการลาอย่างถูกต้องก็อนุมัติกันไปตามเหตุผล ตามข้อเท็จจริง เช่น ลูกน้องป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ต้องนอนซมเป็นอาทิตย์ ก็ควรจะเห็นอกเห็นใจให้เขาได้พักผ่อนให้หายดีเสียก่อน ไม่ควรไปพูดจากดดันให้เขารีบกลับมาทำงานแบบแล้งน้ำใจ
หรือลูกน้องขอลากิจเพื่อไปเฝ้าลูกที่ป่วยและแอดมิตอยู่ที่โรงพยาบาล ก็ควรจะอนุมัติให้เขาไปดูแลลูกตามประสาคนเป็นพ่อเป็นแม่
ไม่ใช่ไปบอกว่า “คุณไปเฝ้าก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะคุณไม่ใช่หมอหรือพยาบาล หมอพยาบาลเขาทำหน้าที่อยู่แล้ว คุณกลับมาทำงานดีกว่า….” (ผมเคยเจอหัวหน้าแบบนี้มาแล้ว)
ถ้าเป็นหัวหน้าไร้น้ำใจประเภทที่ไม่รู้จักคำว่าใจเขา-ใจเรา แยกแยะไม่ออกว่าอะไรควรหรือไม่ควรอย่างนี้ คงไม่มีลูกน้องคนไหนที่มีใจอยากจะทำงานอยู่ด้วยหรอกครับ
4.รู้จักลูกน้อง : หัวหน้างานควรจะต้องมีความใกล้ชิดกับลูกน้อง และต้องรู้ว่าลูกน้องคนไหนมีอุปนิสัยใจคอเป็นยังไงกันบ้าง ใครมีพฤติกรรมยังไง มีความรับผิดชอบ ตั้งใจทำงาน ฯลฯ มากน้อยแค่ไหน
ในเรื่องนี้ผมมักจะพบว่าหัวหน้าอีกไม่น้อยที่ไม่เคย “รู้จัก” ลูกน้องของตัวเองเลย ไม่เคยกินข้าวกับลูกน้อง ไม่เคยสังสรรค์ร่วมกับลูกน้อง ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไปว่าลูกน้องแต่ละคนมีพื้นเพเป็นมายังไง ครอบครัวของเขาเป็นยังไงบ้าง ความรู้สึกนึกคิดเขาเป็นยังไง จะรู้จักลูกน้องเพียงเวลา 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นเท่านั้น
ถ้าเป็นอย่างงี้การบริหารลูกน้องก็จะมีปัญหามากขึ้นแหละครับ
ถ้าหัวหน้ามีภาวะผู้นำและทำตามที่บอกมาข้างต้น
ก็เชื่อว่าจะทำให้ลูกน้องที่ชอบลาเปลี่ยนใจมาชอบหมาแมวมากขึ้นนะครับ ?