Market-think : บทเรียน “อมรินทร์”

อมรินทร์
คอลัมน์ : Market-think
ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์

ถือเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงสื่อ

เมื่อ คุณเมตตา อุทกะพันธุ์-คุณระริน อุทกะพันธุ์ และ นายโชคชัย ปัญจรุ่งโรจน์ สามีคุณระริน ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งบริหารในบริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน)

หลังจากที่คุณระรินได้ขายหุ้นลอตใหญ่ 13.86% ให้กับบริษัท สิริภักดีธรรม ของคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี เมื่อต้นเดือนตุลาคม

ก่อนหน้านี้คุณเจริญเข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน “อมรินทร์” เมื่อปี 2559 แต่ให้คุณเมตตาและคุณระรินบริหารงานต่อไป

การตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดและลาออกจากทุกตำแหน่งครั้งนี้จึงเป็นการเปิดทางให้กลุ่มไทยเบฟฯเข้ามาบริหารงานเครืออมรินทร์อย่างเต็มตัว

และปิดตำนานตระกูล “อุทกะพันธุ์” ผู้ก่อตั้ง “อมรินทร์” ลงอย่างสิ้นเชิง

ADVERTISMENT

เครืออมรินทร์เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการสื่อมายาวนาน

เป็นเจ้าของนิตยสารชื่อดังหลายเล่ม มีสำนักพิมพ์ผลิตหนังสือพ็อกเกตบุ๊ก มีโรงพิมพ์ เป็นเจ้าของอีเวนต์ใหญ่หลายงาน

ADVERTISMENT

จนวันหนึ่ง “อมรินทร์” ตัดสินใจรุกเข้าไปวงการสื่อโทรทัศน์ ด้วยการประมูลทีวีดิจิทัล

เป็นจังหวะก้าวแบบเดียวกับ “ไทยรัฐ-เดลินิวส์”

คือก้าวจากสื่อกระดาษไปสู่วงการโทรทัศน์

ในวันนั้น คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นก้าวย่างที่ถูกต้อง เพราะสื่อกระดาษเริ่มส่งสัญญาณว่าจะดิ่งหัวลงเรื่อย ๆ

ขณะที่ธุรกิจโทรทัศน์ที่มีอยู่แค่ 4 ช่อง

ใคร ๆ ก็มองว่าเป็น “ขุมทอง”

การตัดสินใจประมูลทีวีดิจิทัลจึงเป็นแนวทางที่ถูกต้องในวันนั้น

แต่ใครจะไปนึกว่า “ขุมทอง” ที่คาดหวังไว้กลับกลายเป็น “หุบเหว”

จะบอกว่ากลุ่มสิ่งพิมพ์ที่เข้าไปประมูลทีวีดิจิทัลไม่รู้เรื่องวงการโทรทัศน์ จึงประเมินสถานการณ์ผิดพลาดก็คงไม่ได้

เพราะยักษ์ใหญ่ของวงการโทรทัศน์ทุกรายก็เข้าประมูล

ช่อง 3 ช่อง 7 อสมท แกรมมี่ อาร์เอส เวิร์คพอยท์ฯ ฯลฯ

ทุกคนเชื่อว่าทีวีดิจิทัลเป็น “ขุมทอง”

ราคาประมูลจึงสูงลิบลิ่ว

แต่ใครจะไปนึกว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คนดูทีวีน้อยลง หันไปดูโซเชียลมีเดียจากจอมือถือมากขึ้น

“ทีวีดิจิทัล” จึงกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ลูกใหญ่

“อมรินทร์” ก็ไม่พ้นวังวนนี้

ที่สำคัญที่สุด คือ รายรับจากฐานที่มั่นเดิมที่เป็นสื่อกระดาษ น้อยกว่ารายจ่ายที่ใช้ในแวดวงโทรทัศน์

สถานการณ์ที่ “อมรินทร์” เผชิญจึงคล้าย ๆ กับตอนที่นิตยสารคู่แข่งรายเดือน ไปลงทุนทำหนังสือพิมพ์รายวัน

“คู่แข่ง” เป็นนิตยสารรายเดือนที่โฆษณาแน่นมาก กำไรมโหฬาร

แต่พอมาทำหนังสือพิมพ์รายวันที่มีรายจ่ายทุกวัน

รับเป็นเดือน แต่จ่ายทุกวัน

สุดท้าย “คู่แข่ง” ก็ไม่รอด

คล้าย ๆ กับ “อมรินทร์” ที่มีรายรับจากนิตยสาร-พ็อกเกตบุ๊ก แต่จ่ายค่าสัมปทานและค่าใช้จ่ายผลิตรายการโทรทัศน์ทุกวัน

รับน้อย จ่ายเยอะ

สุดท้าย “อมรินทร์” ก็มีปัญหา จากที่กำไรต่อเนื่องทุกปีกลายมาเป็นขาดทุนหนักมาก

แต่เขาแก้สถานการณ์วิกฤตครั้งนั้นได้เร็ว เพราะสามารถเจรจาขายหุ้นให้กลุ่มไทยเบฟฯ

พลิกสถานการณ์จากขาดทุนปีละ 400-600 ล้านบาท มาเป็นกำไรหลักร้อยล้านต่อเนื่องมาหลายปี

แต่ภายใต้ผลประกอบการที่ดีขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าปัญหาภายในเป็นอย่างไร

เพราะฝ่ายหนึ่งถือหุ้นใหญ่ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของเก่าและรับหน้าที่บริหาร

ไม่รู้ว่าจะมีวันไหนที่เริ่มฝันถึงดาวคนละดวงบ้าง

อย่าลืมว่าตระกูลอุทกะพันธุ์ ขายหุ้นลอตแรกและลอตหลังสุดไป รวมเป็นเงินพันกว่าล้านบาท

เขาสามารถไปเริ่มต้นธุรกิจใหม่ที่ตัวเองเป็นเจ้าของได้ไม่ยาก

เรื่องนี้ไม่มีใครผิดใครถูก

เป็นเรื่องปกติธรรมดาของ “ความเปลี่ยนแปลง”