เปิดประวัติ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แคนดิเดตนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมจะเป็นนายกฯ คนที่ 30 สานสัมพันธ์ทุกฝ่าย ก้าวข้ามความขัดแย้ง
วันที่ 10 พฤษภาคม 2566 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มาพร้อมแคมเปญ ก้าวข้ามความขัดแย้ง โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่ใช่ผมคนเดียว การก้าวข้ามความขัดแย้งต้องช่วยกันทั้งประเทศ” พร้อมระบุว่า ต้องการให้คนไทยรักสามัคคีกัน นำพาประเทศให้เกิดความเจริญก้าวหน้าต่อไป ส่วนเรื่องความคิดการเมือง ให้ไปว่ากันในสภา
- บัตรเครดิตซิตี้ ย้ายไป UOB บัตรประเภทไหน เปลี่ยนแปลงอย่างไร
- คำแนะนำจาก ซีอีโอ “ฮั่วเซ่งเฮง” ยุคทอง (โคตร) แพง ต้องลงทุนอย่างไร ?
- Q1 “ITD” สะเทือน 4 แบงก์ใหญ่ ส่อตั้งสำรองเพิ่ม-กำไรหด
ในเส้นทางของ พล.อ.ประวิตร ถือเป็นผู้ที่มีคอนเน็กชั่นและสั่งสมบารมีทางการเมืองมากที่สุดคนหนึ่ง ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเพียงนายทหาร จนถึงวันนี้ที่ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ
ประวัติ
- เกิดวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2488 อายุ 78 ปี
- จบชั้นมัธยมจากเซนต์คาเบรียล
- จบนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 6
- จบนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่ 17
พล.อ.ประวิตร เป็นบุตรคนโตของพลตรีประเสริฐ วงษ์สุวรรณ กับนางสายสนี วงษ์สุวรรณ มีน้องชาย 4 คน คือ พลเรือเอกศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ, พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ, พงษ์พันธุ์ วงษ์สุวรรณ
พล.อ.ประวิตรเริ่มต้นเดินบนเส้นทางการเป็นนายทหารด้วยการเป็นผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 2 กรมผสมที่ 3 เมื่อปี 2512 และเตืบโตบนเส้นทางราชการทหารมาโดยตลอด กระทั่งปี 2524 ได้ขึ้นมาเป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ หรือที่สื่อมักเรียกเครือข่ายดังกล่าวว่า “บูรพาพยัคฆ์”
ชีวิตการเป็นทหารของ พล.อ.ประวิตร เติบโตตามเส้นทางนายพลมากฝีมือและเครือข่ายอำนาจ ตั้งแต่การเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในปี 2545 ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ในปี 2546 และผู้บัญชาการทหารบก สมัยรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร (ปี 2547) นับเป็นทหารสายบูรพาพยัคฆ์คนแรกที่ได้ขึ้นแท่นเป็น ผบ.ทบ. ก่อนที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นทั้งพี่น้อง 3 ป. และทหารบูรพาพยัคฆ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งดังกล่าวเช่นกัน
จาก “ทหาร” สู่ “นักการเมือง”
หลังเกษียณอายุราชการทหารเมื่อปี 2548 ชื่อของ พล.อ.ประวิตร เป็นที่ได้ยินอีกครั้งบนสนามการเมือง ในฐานะ รมว.กลาโหม สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ปี 2551-2554) และกลับมาอยู่บนหน้าการเมืองอีกครั้งช่วงสมัย คสช. ในฐานะรองหัวหน้า คสช. รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเป็น รมว.กลาโหม ครั้งที่ 2 จนถึงกรกฎาคม 2562 โดยยังคงเป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้
ปี 2563 การเมืองไทยสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประวิตรจะได้รับการเสนอให้เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แล้วกระแสข่าวก็กลายเป็นเรื่องจริง เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2563 พล.อ.ประวิตร ตอบรับนั่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ต่อมายังคงสร้างบารมี เป็นที่นับหน้าถือตาในกลุ่มสมาชิกทั้งนักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ และหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร ที่มีเครือข่ายเกือบทุกพรรค ไม่เว้นแม้แต่นักการเมืองท้องถิ่น
พล.อ.ประวิตรคร่ำหวอดในวงการความมั่นคง เกี่ยวพันกับนักการเมืองทุกระดับมาตั้งแต่อ่อนเกษียณอายุราชการจวบจนปัจจุบัน อาจนับห้วงเวลาได้เกือบ 2 ทศวรรษ ชื่อของ พล.อ.ประวิตร จึงปรากฏอยู่ในการ “ดีลลับ” กับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ไม่เคยมีหลักฐานปรากฏชัดแจ้ง
ไม่เพียงแต่กับคอนเน็กชั่นกับบรรดานักธุรกิจ นักการเมือง และผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ระดับชาติ พล.อ.ประวิตรยังมองหน้ารู้ใจกับคนในวุฒิสภาสัดส่วนเกินครึ่งใน 250 คน บารมีของเขายังคงลอยเหนือกองทัพ ทั้ง 4 เหล่าทัพ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ รวมทั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การได้รับฉายา “ป๋าคนที่สองของกองทัพ” ที่นายทหารกลุ่มที่สนิทเรียกกันเบา ๆ แต่ได้ยินกันทั่วทุกโครงสร้างอำนาจ จึงอาจมีความจริงเจือปนเป็นส่วนใหญ่
ขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีรักษาการ
หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ต้องหยุดทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว จากคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวของศาลรัฐธรรมนูญ ที่สั่งให้หยุดทำหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมา ชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นที่สนใจขึ้นมาอีกครั้ง เพราะต้องกลายมาเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีแทนรุ่นน้องสุดที่รัก
การขึ้นมาเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เป็นไปตาม คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 237/2563 เรื่อง การมอบหมายให้ราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ระบุว่า ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีตามลำดับ ดังนี้
- พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
- นายวิษณุ เครืองาม
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล
- นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
- นายดอน ปรมัตถ์วินัย
- นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
พลังประชารัฐ เคาะประวิตรเป็นแคนดิเดตนายกฯ
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ระบุว่า “ทุกคนเห็นตรงกันเสนอ พล.อ.ประวิตร เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงท่านเดียว เพื่อคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และศักดิ์ศรีของพรรคพลังประชารัฐ จึงต้องเสนอท่านที่สูงสุด เหมาะสมที่สุด ที่ประชุมทุกระดับชั้น เชื่อว่า พล.อ.ประวิตร มีความเหมาะสม และเชื่อว่าท่านจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แน่นอน” นายไพบูลย์กล่าว
ก้าวข้ามความขัดแย้ง
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้โพสต์บทความ ทำไมต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง ในเฟซบุ๊ก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ดังต่อไปนี้
ทำไมต้อง “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” เพราะแม้จะมีเหตุผลมากมายที่หลายคนเห็นว่าผมควรจะหยุด และกลับไปใช้ชีวิตสบาย ๆ ซึ่งจะทำให้ผมมีความสุขมากกว่า เนื่องจากชีวิตไม่ได้รู้สึกขาดแคลนอะไรแล้ว และนั่นทำให้ผมคิดแล้วคิดอีกอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ในที่สุดแล้ว ผมตัดสินใจที่จะทำงานต่อ แน่นอนว่าเหตุผลหนึ่งคือ
ผมผูกพันกับคนที่ร่วมสร้าง “พรรคพลังประชารัฐ” ขึ้นมาจนประสบความสำเร็จ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศมาเกือบครบ 4 ปีเต็ม ๆ ทุกคนล้วนมีความหวัง ความฝันที่จะทำงานการเมืองต่อไป ทุกคนต่างร่วมทำงานหนักกันมา เมื่อถึงวันที่จะต้องลงเลือกตั้งกันใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันที่เข้มข้น การต่อสู้รุนแรงมาก ใครไม่พร้อมก็ยากที่จะเดินต่อไปได้
คดีนาฬิกาหรู
ภาพที่ พล.อ.ประวิตร ยกมือขึ้นบังแดดระหว่างถ่ายภาพหมู่ ครม. “ประยุทธ์ 5” ทำให้โลกออนไลน์สะดุดตากับแหวนและนาฬิกาหรู ก่อนเรื่องราวจะบานปลาย จากการที่ไม่มีการแสดงข้อมูลเครื่องประดับทั้ง 2 ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของสำนักงาน ป.ป.ช. ทำให้ ป.ป.ช.ต้องเรียก พล.อ.ประวิตรมาชี้แจ้งด่วน และจบที่ว่าแหวนนั้นเป็นของมารดา และนาฬิกานั้นยืมเพื่อนมาใส่ แต่คืนเพื่อนหมดแล้ว
ต่อมา ศาลปกครองสูงสุดสุด มีคำพิพากษาให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยรายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน เอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนคดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรทราบ
กรณีไม่แสดงว่ามีนาฬิกาข้อมือและแหวนประดับหลายรายการของ ป.ป.ช. รวมทั้งความคิดเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ทุกคนที่รับผิดชอบในการไต่สวนดังกล่าว และรายงานการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ให้แก่นายวีระ สมความคิด ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา
ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลว่า เมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ได้มีคำวินิฉัยให้สำนักงาน ป.ป.ช. และ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลรายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการไต่สวนคดี พล.อ.ประวิตรจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
ตามคำขอของนายวีระ สมความคิด และมีผลผูกพันให้สำนักงาน ป.ป.ช. และ ป.ป.ช.ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ดังนั้น การที่สำนักงาน ป.ป.ช. และ ป.ป.ช.ไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแก่นายวีระ สมความคิด จึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด