พลังประชารัฐเสนอชื่อนายกฯ 3 คน ประยุทธ์-ประวิตร-คนนอกพรรค

ประยุทธ์ ส่ายหัว เมินข่าวขบวนการจ่าย 30 ล้าน ล้มนายกฯ คุยประวิตรทุกวัน
แฟ้มภาพ
รายงานพิเศษ

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ “ต่อวีซ่า” นายกรัฐมนตรีให้ “บิ๊กตู่” ออกไปอีก 2 ปี (หากพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้า) ไม่ได้เป็นคุณกับพรรคพลังประชารัฐเลย

หนึ่ง ลูกหาบของ “บิ๊กป้อม” ไม่สามารถส่ง “หัวหน้าครอบครัวบ้านป่ารอยต่อ” เข้าประกวด “นายกฯประเทศไทย” ในรอบแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้เต็มตัว

สอง การส่ง “บิ๊กตู่” ลงสนาม “ป้องกันแชมป์” ประมุขตึกไทยคู่ฟ้า โดยเหลือ “อายุการใช้งาน” อีกเพียง 2 ปี ย่อมเกิดคำถามในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้าถึงความ “ไม่ต่อเนื่อง” ทั้งที่วาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือ 4 ปี

ยังไม่นับว่า หาก “บิ๊กตู่” ได้เป็นนายกฯ อีกสมัย ระหว่าง 2 ปี จะไม่เกิดลูกระนาดทางการเมือง ทั้งการยุบสภา-ลาออก

แม้กระทั่งเมื่ออยู่ครบ 2 ปี แล้วนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะมา “รับไม้ต่อ” อีก 2 ปีที่เหลือจะเป็นใคร สมการการเมืองขณะนั้นจะ “เข้าทาง” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่เหลือของพรรคพลังประชารัฐหรือไม่

ล้วนแล้วแต่บ่งบอกว่า “มีความไม่แน่นอนสูง” หาก “บิ๊กตู่” กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

สาม การส่ง “บิ๊กป้อม” มาเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์สอง” เพื่อมา “รับช่วงต่อ” ในปีที่ 3 – ปีที่ 4 แล้วลดชั้น “บิ๊กตู่” เป็นเพียงรองนายกรัฐมนตรี – รมว.กลาโหม แม้กระทั่ง รมว.มหาดไทย “บิ๊กตู่” คงไม่แฮปปี้นัก

ยังไม่นับเรื่องอายุที่จะครบ 80 ปี ในปี 2568 แม้ “บิ๊กป้อม” จะใช้ “ใจบันดาลแรง” ในการบริหารประเทศ แต่การแก้ไขปัญหาประเทศในปีหน้าหนักหนาสาหัส โดยเฉพาะวิกฤตเศรษฐกิจ “ผู้นำประเทศ” คงต้องใช้ทั้งกำลังกาย-กำลังปัญญา

สำคัญที่สุดในปี 2568 ส.ว. 250 คน ที่เป็นเพื่อน-พี่-น้องของ “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม” จะครบวาระ 5 ปี ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2567

มิหน้ำซ้ำการเลือกนายกรัฐมนตรีในปี 2568 ส.ว.จะไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี ตาม “บทเฉพาะกาล” มาตรา 272 มีเพียงสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เท่านั้นมีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะมาทำหน้าที่ที่เหลืออีก 2 ปี

“มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร” รัฐธรรมนูญมาตรา 159 วรรคสามระบุ

จึงไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า “บิ๊กป้อม” จะได้เป็น “นายกรัฐมนตรีครึ่งวาระ”

การใส่ชื่อบิ๊กตู่-บิ๊กป้อม ขึ้นบัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้ จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้น – ยังไม่ถึงจุดพีค เพราะเมื่อถึง “วันจริง” ในการเลือกนายกรัฐมนตรีสมัยหน้า-คนที่ 30 ต้องเกิดการ “วัดพลัง” ของ ส.ส.- ส.ว. “สายลุงตู่” กับ “สายลุงป้อม” ท่ามกลางการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีในการฟอร์มรัฐบาลกันอย่างหนักหน่วง

แม้กระทั่ง “บิ๊กตู่” อาจจะไม่รับเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐและไปอยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี “พรรคนั่งร้าน” เปิดหน้าชกกับ “บิ๊กป้อม”

ยกเว้น บิ๊กตู่ “วางมือ” ไม่ไปต่อ เพื่อ “เปิดทาง” ให้ “พี่ป้อม” เดินตามเส้นทางฝันสู่เก้าอี้ “นายกรัฐมนตรีตัวจริง” 4 ปีเต็ม ไม่ใช่ “นายกฯคั่นเวลา” 2 ปี หรือ “นายกฯ รักษาการ” 38 วัน

พรรคพลังประชารัฐจึงดูเหมือนว่ายัง “แก้โจทย์” การเลือกตั้งครั้งหน้า “ไม่ตก” ถึงยังเข็น พี่-น้อง วงษ์สุวรรณ-จันทร์โอชา มาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้า

8 ปีเต็มกับรัฐบาลเครือข่าย 3 ลุง กองหนุน-กองเชียร์ ร่อยหรอ ตามมาด้วยเครื่องหมายคำถามตัวโตว่า บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม ยังขายได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่

ความได้เปรียบเดียวของบิ๊กตู่-บิ๊กป้อม คือ ส.ว.250 คนที่จะสามารถ “ยกมือ” โหวตครั้งสุดท้าย-ทิ้งทวนให้ “นายกฯ พลังประชารัฐ”

ดังนั้นต้องจับตาดูการ “ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย” คนที่จะมาเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์ 3” ของพรรคพลังประชารัฐจะ “เป็นใคร” เพื่อมาต่อกรกับ “นายกฯเพื่อไทย”

“วีระกร คำประกอบ” ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ออกมาพูดตรง ๆ ว่า ต้องรีบหาผู้ที่จะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คนที่ 3 ไม่ใช่หากันหน้างาน มีเวลาอีก 6 เดือน ถ้าเราจะทำให้พลังประชารัฐเป็นสถาบันทางการเมืองต้องให้ประชาชนมีหวัง ใครเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก็ต้องใส่เข้าไป เสาะหามาให้ได้ ไม่ใช่ไปหาเอาข้างหน้า

“แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ต้องเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน ว่า พรรคพลังประชารัฐมีทีมเศรษฐกิจที่แข็งแรง จะต้องสร้างภาพให้เกิดความมั่นใจต่อพรรคว่า วันนี้เรามีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีคนคนนี้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจให้กับเรา เป็นคนที่คนไทยมั่นใจ”

“คนในไม่มี คงต้องเป็นคนนอก ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการเงินการคลัง ต้องมีทักษะ ไม่มีใครอยู่ใจ ไม่ได้จะเชียร์ใคร พูดตามเนื้อผ้า พรรคพลังประชารัฐต้องมีทีมเศรษฐกิจ”ผู้กล้าแห่งพลังประชารัฐตบท้าย

ส่วนชื่อของ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่ง ส.ว.ครบ 2 ปี มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า อาจจะเข้ามามีบทบาทนำภายในพรรคพลังประชารัฐ อาจจะ “ไม่ตอบโจทย์” ที่จะมา “ปิดจุดอ่อน” เรื่องเศรษฐกิจ