พุทธิพงษ์ เทิดทูนสถาบันอันดับ1 ภูมิใจไทย ส.ส.เกิน 100 อนุทินเต็งนายกฯ

พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์
พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์
คอลัมน์ : สัมภาษณ์
ผู่เขียน : ณัฐวุฒิ การัณยโสภณ

พรรคภูมิใจไทย แห่งเมืองบุรีรัมย์ ที่มี “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นบิ๊กบอส หัวหน้าพรรค สถาปนาเป็น “พรรคใหญ่” ดึง ส.ส.ต่างพรรคมาประดับบารมีร่วมร้อยชีวิต

วันนี้ พรรคภูมิใจไทย ประกาศ “เข้ากรุงเทพฯ” อย่างเป็นทางการ มี “บี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่เคยเป็นหัวหอก กทม.ให้พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ มาเป็นผู้นำทัพ

ประชาชาติธุรกิจ สนทนาพิเศษกับ “บี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์  เขายืนยันเหตุผลสำคัญในการร่วมงานการเมืองกับพรรคใหม่ว่“อุดมการณ์สำคัญที่สุด พรรคภูมิใจไทยยืนยันว่ามีนโยบายปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมมายืนตรงนี้เพราะเรื่องนี้อันดับหนึ่ง”

แม้ว่าพรรคภูมิใจไทยจะสถาปนาตัวเองบนถนนการเมืองมาเกินทศวรรษ แต่การเลือกตั้งที่ลงสนามไม่เคยได้ ส.ส.กทม.แม้แต่ครั้งเดียว

ทว่า ก่อนถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่ ปี 2566 พรรคภูมิใจไทย ดึง ส.ส.กทม.จากพรรคอนาคตใหม่-ฝ่ายตรงข้าม มาประดับบารมีมาล่วงหน้าแล้ว 2 ราย คือ ร้อยตำรวจตรีมณฑล โพธิ์คาย นายโชติพิพัฒน์ เตชะโสภณมณี ที่ยังมีตำแหน่งเป็น ส.ส.

อีกครั้ง ช่วงที่ ส.ส.แห่ลาออกจากตำแหน่งเพื่อมาเปิดตัวทางการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย เมื่อ 16 ธันวาคม 2565 มี “ประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ” ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย มาอีก 1 ราย

เช่นเดียวกับกลุ่มก้อน ส.ส.ของ “บี พุทธิพงษ์” ประกอบด้วย นายจักรพันธ์ พรนิมิตร น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ นายกษิดิ์เดช ชุติมันต์ น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ และนางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ก็ขนข้าวของจากพรรคพลังประชารัฐ มาอยู่กับพรรคภูมิใจไทย

อนุทินถึงกับประกาศว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ถึงเวลาที่พรรคภูมิใจไทย เจาะเข้ากรุงเทพฯ

ทว่า ภารกิจใน กทม.ของ “บี พุทธิพงษ์” ในสายตานักเลือกตั้ง ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะพรรคภูมิใจไทย ไม่มี “กระแส” ใน กทม. ผิดกับกระแส “พรรคก้าวไกล” ที่ใคร ๆ ก็ผวา

“พรรคก้าวไกลน่าจะครองกระแส กทม.ได้กว่า 80%” ขุนพล กทม.ของพรรคภูมิใจไทยรายหนึ่งกล่าว พร้อมยกตัวอย่างว่า ต้องยอมรับว่ากระแสของพรรคภูมิใจไทยใน กทม.มีไม่มากนัก ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยต้องทำอย่างไรก็ได้ให้คน กทม.คิดว่าเป็นทางเลือกใหม่ เพราะถ้าทำไม่ได้ก็จบ”

กระนั้น การเปิดตัวของพุทธิพงษ์ มาพร้อมทีมงานหน้าใหม่ รุ่นใหม่ 8 คน มั่นใจว่า จะได้รักษาเก้าอี้ ส.ส.กทม.ในกลุ่มของตัวเองได้ครบทั้ง 8 ที่นั่ง

ปั๊มยอดเรตติ้งภูมิใจไทย

“พุทธิพงษ์” อธิบายเรื่องบูตกระแสพรรคภูมิใจไทยใน กทม. เน้นนโยบายดี-ที่ทำได้จริง และบุคคลมีคุณภาพ

“เราไม่ได้บอกว่าเราเอาตัวเราเป็นที่ตั้ง…ไม่ใช่ แต่การเมืองยุคมันเปลี่ยน พรรคก่อนหน้านี้ทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรคอนาคตใหม่ ก็ไม่ได้มีฐานเสียงใน กทม.เสียหน่อย แต่เราได้ตัวบุคคล ได้นโยบายดี ได้นำเสนอสิ่งที่ดี คนเห็นว่าทำได้จริง มีโอกาสที่เขาจะได้ประโยชน์เขาก็เลือก”

“ไม่งั้นพรรคพลังประชารัฐ พรรคอนาคตใหม่ก็เถอะ จะได้ฐานเสียงได้ไง คะแนนจัดตั้งก็ไม่มี เริ่มจากดึงกันมาอย่างนี้แหละ แต่คราวนั้นมีลุงตู่ กระแสมาก็เทลงไป”

“แต่คราวนี้ มีนโยบายดี มีบุคลากรที่ดีมาให้เลือก คนที่อยากเปลี่ยนอะไรใหม่ ๆ เขาก็มาดู แถมหัวหน้าพรรคเรายังมีโอกาสเป็นนายกฯ ในสถานการณ์อย่างนี้ คราวที่แล้วมีเรื่องความสงบ มันก็ต้องเลือกทหาร แต่วันนี้ถ้าไม่มีเรื่องความสงบ แต่เป็นเรื่องเศรษฐกิจ เราก็ต้องหาคนที่ถนัดทำเรื่องเศรษฐกิจ พี่หนู (นายอนุทิน) เป็นคนหนึ่งที่สามารถเป็นนายกฯได้”

“เสียง ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยทั้งประเทศ อย่างน้อยก็ต้องมี 80-90 เสียง หรือ 100 อัพ ก็ต้องมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ ดังนั้น พี่หนูก็เป็นแคนดิเดตนายกฯแน่นอน ซึ่งคน กทม.เวลาจะเลือก อาจจะต้องดูกระแสใกล้ ๆ เลือกตั้ง เขาก็จะสามารถพิจารณาได้ เลือกคนที่มีโอกาสผลักดัน ทำนโยบายได้ จะไปเลือกคนที่ 20 เสียง 30 เสียง เป็นนายกฯได้อย่างไร”

“พอใกล้ ๆ เลือกตั้งก็จะมีเงื่อนไข ข้อจำกัด ที่ทำให้คน กทม.คิดได้ว่ามาเลือกพรรคภูมิใจไทยดีกว่า ถ้าเขาไม่เลือกฝั่งนู้น คือ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว เขาก็ต้องมาเลือกฝั่งนี้ที่พอจะไปสู้ฝั่งโน้น อาจเหลือพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียวก็ได้ที่มีเสียงพอจะไปสู้กับฝั่งโน้น”

พี่ไม่ได้มาเล่น ๆ

ถามว่าพรรคพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ไม่มีโอกาสหรือ “พุทธิพงษ์” ตอบว่า มีโอกาสทั้งนั้นแหละ แต่ถามว่าคน กทม.รู้สึกคิดอย่างไรกับพลังประชารัฐ คิดกับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างไร

“ถ้าเกิดเขาคิดว่าลุงตู่ยังรักเหมือนเดิม แต่อาจจะพอแล้ว ไปพัก บ้านเมืองมันเปลี่ยน สถานการณ์มันเปลี่ยน เงื่อนไขมันเปลี่ยนแล้ว ก็เป็นไปได้”

“อย่างน้อยคนที่มาร่วมงานกับผม มีพื้นฐานที่ดีแน่ ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แกนนำ เครือข่ายที่ดึงมาก็เป็นแกนอยู่ใน 50 เขต กทม.ทั้งนั้น เราจะเอาเขาลงเอง หรือเอาคนรุ่นใหม่ลง ทีมพวกนี้ก็อยู่ข้างล่างคอยบริหารจัดการ พาเดินหาเสียงเลือกตั้ง”

“ที่ผมมาวันนี้ไม่ได้มาคนเดียว แต่มีแกน 50 เขตในพื้นที่เรามีครบ ถึงกล้าเปิดตัวว่ามีคนของเราอยู่ในทุกเขต จะมากจะน้อยเราก็ทำการบ้านไป”

ก้าวไกลตัดกำลังเพื่อไทย

ให้ “พุทธิพงษ์” ประเมินคู่แข่ง ก้าวไกล-เพื่อไทย ในสนามเลือกตั้ง เขาวิเคราะห์ว่า “แน่นอน การต่อสู้ใน กทม.มีไม่กี่พรรค แต่ตอนนี้การเลือกตั้งไม่เหมือนทุกครั้ง พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ก็ตัดคะแนนกันเอง หรือพรรคไทยสร้างไทย ก็ไม่ได้ตัดคะแนนฝั่งนี้ (ฝั่งภูมิใจไทย และขั้วรัฐบาลปัจจุบัน) ถ้าจะตัดคะแนนก็ตัดฐานจากพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ไม่เฉพาะแค่ฝั่งนี้

“แต่สมัยก่อนนู้น มีการต่อสู้แค่พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ สู้กัน แต่พอแตก ๆ กันไป เมื่อก่อนคนเลือกพรรคนี้เคยมี ส.ส.กทม. เลือกคนนี้เพราะเป็นคน กทม. …แต่ปัจจุบันไม่ใช่แน่นอน คน กทม.จะเลือกภายใต้เงื่อนไข เลือกเพื่ออะไร เลือกเพื่ออยากให้ฝ่ายนี้เป็นนายกฯ ให้คนนี้เป็นนายกฯ เลือกเพื่ออยากตัดแผนแลนด์สไลด์ฝั่งนู้น ด้วยเงื่อนไขช่วงเลือกตั้งจะเป็นตัวตัดสินใจ”

พุทธิพงษ์ยืนยันว่า เราไม่ได้มาเล่น ๆ แน่นอน ไม่ได้มาแล้วอยู่ดี ๆ จะเริ่มที่นี่ ที่พูดทั้งหมดคิดมาก่อนแล้ว นโยบายจะมีมากกว่านี้ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ก็จะเติมไปเรื่อย ๆ เพื่อนำเสนอให้คน กทม.

ชู “อนุทิน” นายกฯ

เหตุผลที่ “อนุทิน” หัวหน้าพรรคถึงขั้นเป็นนายกฯ เขากล่าวว่า สถานการณ์วันนี้เปลี่ยนไปแล้ว หัวหน้าทำธุรกิจมา ท่านบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจ มีเพื่อนฝูงด้านเศรษฐกิจ เห็นท่านเดินทางไปพบต่างประเทศ มีเอกอัครราชทูตเข้าพบ ท่านคุยในสิ่งสำคัญ เพราะประเทศต้องเริ่มค้าขาย

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ยังขายได้หรือไม่ในสนามเลือกตั้ง “พุทธิพงษ์” ไม่ตอบตรง ๆ

“ความเห็นผม คิดว่าเป็นเสน่ห์ของความสวยงามของประชาธิปไตย ที่มีตัวเลือก มีทางเลือกให้ประชาชนเยอะ นายกฯเปิดตัวให้กับประชาชนอย่างชัดเจนก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นทางเลือกที่ดี เราก็มีทางเลือกของเรา ระบอบประชาธิปไตยก็มีการแข่งขัน นำเสนอนโยบาย นำเสนออนาคตของประเทศให้ได้ ไม่มีใครดีกว่าใครหรอก อยู่ที่สถานการณ์ขณะนั้นใครเหมาะที่จะนำพาประเทศ ณ วันที่กำลังเดินมาถึง”

อุดมการณ์-ใจตรงกัน

แม้ว่าจะต้องเป็นแกนหลักในการกรุยทางสนามเลือกตั้ง กทม.ให้กับพรรคภูมิใจไทย ประหนึ่งเริ่มต้นจาก 0

แต่พุทธิพงษ์ย้ำจุดยืน-อุดมการณ์มาตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์ ถึง กปปส. และพรรคพลังประชารัฐ

“อุดมการณ์สำคัญที่สุด พรรคภูมิใจไทยยืนยันว่ามีนโยบายปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมมายืนตรงนี้เพราะเรื่องนี้อันดับหนึ่ง ตลอด 20 ปีที่ผมทำงานให้คน กทม.มาตลอด เราผ่านอะไรมาเยอะ จะทำให้ประเทศเดินไปได้ ทำงานจริง ๆ ไม่ต้องมาคิดตำแหน่งหน้าที่ เชื่อว่าทำงานเป็นหลัก”

มีคนถามว่าทำไมถึงเลือกพรรคภูมิใจไทย ขอตอบว่าถ้าย้อนดู 3 ปีที่ผ่านมา ภูมิใจไทยไม่มี ส.ส.ใน กทม. แต่รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยที่รับผิดชอบกระทรวงต่าง ๆ ได้สร้างประโยชน์ โครงการมาให้คน กทม.ทั้งที่ไม่มี ส.ส.เลย ดังนั้น แม้ไม่มี ส.ส.ยังทำได้ขนาดนี้ ถ้าการเลือกตั้งครั้งหน้าเสนอคนเก่ง คนดี มีคุณภาพให้คน กทม. แล้วมาทำให้เกิดขึ้นจริง ลองคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้น เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเรามาภูมิใจไทย

“เราเชื่อตรงกันว่า คน กทม.มีปัญหามาก และทำไมปัญหาเหล่านั้น ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ไม่ได้รับการแก้ไข วันนี้เชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยให้โอกาสพวกเรา คิดเป็นนโยบายแล้วนำกลับไปเป็นประโยชน์ให้กับประชาชน

ดังนั้น คำว่าพูดแล้วทำ มีความหมาย แล้วเอากลับไปให้ กทม.ตัดสินใจเลือกภูมิใจไทย เพราะพวกเราพูดแล้วทำ เรามีนโยบายที่นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง นโยบายที่เรียบง่าย แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง และเราจะทำให้คน กทม. แม้ไม่ได้เป็นนโยบายเมกะโปรเจ็กต์ แต่เป็นนโยบายที่จับต้องได้”

“ภูมิใจไทย-ภูมิใจ กทม.” นี่คือ ธีมหลักที่บี-พุทธิพงษ์ ใช้ปั้นเรตติ้งให้ต้นสังกัดใหม่ของเขา