พิธา-ปิยบุตร-ธนาธร ปราศรัย ปลุกเลือกก้าวไกลสร้างอนาคตใหม่

พิธา โว กระแสดีกว่ายุคอนาคตใหม่ เลือกก้าวไกล 9 จุดเปลี่ยน ด้าน ปิยบุตร เลือกก้าวไกลสร้างอนาคตใหม่ที่ไม่เหมือนปี 20 และ 40 อย่าเอาความทรงจำในอดีตมาล้อมกรอบอนาคต ขณะที่ ธนาธร ขอโอกาสบริหารประเทศ

วันที่ 22 เมษายน 2566 ที่สามย่าน มิตรทาวน์ พรรคก้าวไกล จัดเวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้าย นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ปราศรัยตอนหนึ่งว่า  ที่ผ่านมาการต่อสู้ในทางการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม มักมีความโหยหาถึงเหตุการณ์การต่อสู้ในอดีต หรือเหตุการณ์ในต่างประเทศ

แต่การคิดถึงอดีตเหล่านี้กลายเป็นการไปล้อมกรอบอนาคต ปิดกั้นจินตนาการใหม่ ๆ ซึ่งการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ก็มีความพยายามนำพาสังคมไทยกลับไปหาอดีตเช่นกัน โดยฝ่ายหนึ่งจะพาสังคมไทยกลับไปยังยุค 2520 ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็พาเรากลับไปยังยุค 2540

การเลือกตั้งที่จะถึงนี้จะต้องไม่นำพาประเทศกลับไปอดีต ทั้งแบบ 2520 ที่นโยบายเศรษฐกิจนำไปสู่การส่งส่วยให้กลุ่มทุนใหญ่ ปล่อยให้ขูดรีดค่าเช่าทางเศรษฐกิจ มีพรรคจำนวนมาก ๆ แบบไม่มีอุดมการณ์ ตั้งพรรคมาเพื่อรวบรวม ส.ส. ให้ได้มากพอไปขอแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรี นักการเมืองจากการเลือกตั้งพากันสวามิภักดิ์กับชนชั้นนำจารีตประเพณี ทุนผูกขาด และกองทัพ รวมตัวให้ชนชั้นนำจารีตประเพณีคุ้มกะลาหัว แลกกับการมีอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจอยู่บ้าง

และแบบ 2540 ที่นโยบายเศรษฐกิจคิดแต่เพียงกระตุ้นเศรษฐกิจ ขยายเค้กก้อนใหญ่ให้ทุนได้เติบโต แล้วค่อยแบ่งปันให้คนเล็กคนน้อยผ่านบางนโยบาย มีพรรคขนาดใหญ่พรรคเดียวครอบงำ เอา ส.ส. ทุกคนรวมเข้ามาโดยไม่คิดถึงอุดมการณ์ คิดแต่เพียงเพื่อเอาชนะเลือกตั้งให้เด็ดขาด

เกิดวิกฤตการเมืองหรือรัฐประหารก็ย้ายข้างไปซบทหารแล้ววันหนึ่งก็กลับมาใหม่ นักการเมืองใช้เสียงข้างมากเจรจาต่อรองกับชนชั้นนำจารีตประเพณี แก้ไขแต่ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องโดยไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง เพื่อไม่ให้ไปกระทบกับชนชั้นนำจารีตประเพณี

ว่านี่คือเวลาที่ประเทศไทยต้องมองไปสู่อนาคต นั่นคือการสร้างระบบสวัสดิการพื้นฐาน ถ้วนหน้า ครบวงจร ยั่งยืน ให้แก่ประชาชน ให้ประชาชนทุกคนมีชีวิตที่ดีตั้งแต่เกิดจนตาย ขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคเท่าเทียม สนับสนุนทุนใหญ่ไปสู้ในตลาดโลก เปิดทางให้ทุนขนาดกลางและเล็กเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใน มีพรรคการเมืองของมวลชนที่มีจุดยืนอุดมการณ์ชัดเจนตรงไปตรงมา คัดเลือกผู้สมัครจากอุดมการณ์ความคิด ไม่ใช่ใครมีโอกาสได้เป็น ส.ส. หรือมีทรัพยากรให้พรรค

มองไปสู่อนาคต ที่ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เปลี่ยนโครงสร้างทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ปฏิรูปกองทัพ ลบล้างผลพวงรัฐประหาร เอาคนเข่นฆ่าประชาชนมาลงโทษ ปฏิรูประบบราชการ กระจายอำนาจ ทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพื่อจัดวางสัมพันธภาพทางอำนาจของทุกสถาบันกันใหม่ สร้างระบบสวัสดิการพื้นฐานถ้วนหน้าครบวงจร ปฏิรูปที่ดิน ปฏิวัติการศึกษา

“การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทย มักเอาความทรงจำในอดีตมากักขังการมองอนาคต พรรคการเมืองลงสมัครรับเลือกตั้ง อยากมี ส.ส. มาก อยากเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ก็พิจารณาว่าใครมีโอกาสได้เป็น ส.ส. มีเงิน มีเครือข่ายอิทธิพล ก็ไปดึง ไปดูด เข้ามา เกจิอาจารย์กูรูการเมือง ประเมินว่าใครจะชนะเลือกตั้ง ก็ดูว่าพรรคใดมีคนเคยเป็น ส.ส.มากที่สุด พรรคใดเคยได้รับความนิยมมาก่อน จะเลือกใครก็ต้องเลือกแบบยุทธศาสตร์ เลือกคนที่มีโอกาสชนะมากที่สุด เพราะกลัวเลือกไปแล้วแพ้ คะแนนตกน้ำ เดี๋ยวไม่แลนด์สไลด์ เดี๋ยวเปลี่ยนนายกฯ ไม่ได้ จะเลือกใคร ก็ต้องเลือกด้วยความกลัว ไม่เลือกด้วยความหวัง” นายปิยบุตรกล่าว

สร้างอนาคตใหม่ที่ไม่เหมือนปี 20 ปี 40

นายปิยบุตรกล่าวว่า ว่าคนเดิม ๆ แนวทางเดิม ๆ พยายามชวนให้ทุกคนคิดว่าแนวทางการทำพรรคแบบพรรคก้าวไกลเป็นไปไม่ได้ คิดว่านโยบาย 300 กว่านโยบายเป็นไปไม่ได้ แรงเกินไป สุดโต่งเกินไป ยังไม่ถึงเวลา ผู้มีอำนาจจะไม่ยอมให้เป็นรัฐบาลหรือถ้าเข้ามาได้ก็ต้องถูกโค่นล้ม ทั้งหมดนี้ คือกรอบคิดจากความทรงจำในอดีต

แต่นโยบายที่อาจเคยสำเร็จในอดีต ต้องไม่ใช่การนำอดีตมาขายปัจจุบัน เพื่อมาทำซ้ำทำใหม่อีกครั้ง แต่เราต้องอยู่กับปัจจุบัน แตกหักจากอดีตด้วยพลังของมวลชนอันไพศาล จึงจะพาเรากลับไปแก้ไขอดีต เอามาจัดการใหม่ คิดสิ่งใหม่ ฝันสู่สิ่งใหม่ในอนาคต

“การเมืองคือความเป็นไปได้ การต่อสู้ทางการเมืองคือการสร้างจินตนาการใหม่ ถึงสิ่งที่คนเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นประวัติศาสตร์ บทเรียน ประสบการณ์ แต่ไม่ได้หมายความว่า ในอนาคตต้องทำแบบเดิมและเกิดผลแบบเดิม ภารกิจของนักการเมืองในช่วงวิกฤตคือเปิดจินตนาการใหม่ ก่อรูปความทรงจำแห่งอนาคต ให้มวลชนทั้งผองเห็นพ้องต้องกันว่าเราจะไม่ย้อนกลับไปในอดีต เราจะไม่ทำซ้ำแบบอดีต เราจะไม่วาดอนาคตด้วยประสบการณ์ของอดีตอีก” นายปิยบุตรกล่าว

นายปิยบุตรกล่าวว่า ว่าตนขอเชิญชวนประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศทุกคน ต้องร่วมกันทลายกรอบความทรงจำของอดีตที่คอยกักขังอนาคต ร่วมมือกันสร้างอนาคตใหม่ที่จะไม่เหมือนปี 2520 และ 2540 แต่เป็นอนาคตใหม่ที่กล้าชนกับต้นตอของปัญหา

กล้าเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมใหม่ ที่พวกเราร่วมกันกำหนดเอง ใช้อำนาจสูงสุดของประชาชนในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เปิดประตูจินตนาการใหม่ และความเป็นไปได้ใหม่ เลือกพรรคก้าวไกลให้ถล่มทลาย เพื่อประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ธนาธร ลั่น ถ้าทำไม่ได้ รอบหน้าเลือกพรรคอื่น

ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ปราศรัยว่า เราขอพลังจากทุกคน ผลักดันให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เพราะทุกพรรคการเมืองหลักที่อยู่บนกระดานเลือกตั้งตอนนี้ ล้วนเคยเป็นรัฐบาลมาแล้ว แต่พาประเทศไทยมาได้ไกลแค่นี้

มีแค่พรรคก้าวไกลพรรคเดียวที่ไม่เคยบริหารประเทศมาก่อน คนบอกว่าเลือกกี่ครั้งก็เหมือนเดิม เราจึงบอกว่าเลือกก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม ขอก้าวไกลเป็นรัฐบาลสักครั้ง จะพาประเทศไทยไปไกลกว่านี้ให้ทุกคนได้เห็น ถ้าพวกเราทำไม่ได้ เลือกตั้งรอบหน้า ท่านเลือกพรรคอื่นได้เลย

“ไม่ต้องถึงมือประชาชน ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายบริหาร ทำไม่ได้อย่างที่พูด ผมเองจะไม่เป็นผู้ช่วยหาเสียงให้เขาในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่มีหน้ามาเสนอ หรือมาขอทำต่อแน่นอน 14 พฤษภา อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของทุกคน ถ้าเชื่อเหมือนกับเราว่าปัญหาของประเทศไทยไม่ใช่ปัญหาเชิงประเด็น แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงต้องปลดล็อกโครงสร้าง ถ้าเชื่อเหมือนกันว่านี่ไม่ใช่เวลาที่คนไทยต้องเจียมเนื้อเจียมตัว หรือชาชินกับความเจ็บปวดเอาเปรียบ แต่เป็นเวลาที่ประชาชนต้องกล้าทะเยอทะยาน กล้าฝันถึงประเทศไทยที่ดีกว่านี้ ขอโอกาสพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ขอโอกาสพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เป็นนายกรัฐมนตรี กาก้าวไกลให้ถล่มทลายทั้งสองใบ

เลือกก้าวไกล 9 จุดเปลี่ยน

ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ปราศรัยว่า ปัจจุบันการหาเสียงของพรรคก้าวไกลเข้าฝักเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความชัดเจนตรงไปตรงมา และความพร้อมในการเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของตน นี่เป็นเวลาที่อันดับในโพลของพรรคก้าวไกลขึ้นมากที่สุดตั้งแต่มีพรรคก้าวไกลมาและสูงกว่าสมัยอนาคตใหม่ด้วยซ้ำ

การค้นหาในกูเกิลเทรนด์สูงสุดตั้งแต่มีพรรคก้าวไกลมา คนที่โทรเข้าฮอทไลน์ของพรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า คนซื้อสินค้าพรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้น 15-20 เท่า และยอดบริจาคผ้าป่าก้าวไกลตอนนี้ ได้มาเกิน 10 ล้านบาทแล้ว ทุกพื้นที่ในประเทศไทยที่ตนไป ได้รับการต้อนรับจากประชาชนเป็นอย่างดีมาจนถึงตอนนี้

ในโอกาสนี้ ตนอยากสื่อสารถึงประชาชนคนไทยทุกคนสามกลุ่ม คือ กลุ่มแรก คนที่ยังคิดไม่ออกว่าวันที่ 14 พฤษภาคมนี้จะออกมาเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งตนเข้าใจว่าหลายคนอาจจะมีความจำเป็น ทั้งเรื่องของการเดินทางที่ยากลำบาก มีลูกหลานที่ต้องดูแล มีพ่อแม่ที่ป่วยติดเตียง หรือต้องเปิดร้านออกมาไม่ได้

แต่ตนอยากเชื้อเชิญให้ทุกคนเชื่อมั่น ว่าหากเราคือ…ความเปลี่ยนแปลงที่ท่านถวิลหา, ความเปลี่ยนแปลงที่ท่านเชื่อถือได้, ความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ และความเปลี่ยนแปลงที่คุ้มค่า 14 พฤษภาคม เข้าคูหากาก้าวไกล ให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม

 มีเรา ไม่มีลุง

สำหรับกลุ่มคนที่สอง คือทุกท่านที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคไหน ตนยืนยันได้ว่าพรรคก้าวไกลคือการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อถือได้ ตรงปก เลือกแบบไหนได้แบบนั้นแน่นอน คือมี “ลุงไม่มีเรา-มีเราไม่มีลุง” และสุดท้าย คนที่ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเลือกพรรคอื่นแล้วผิดหวัง ไม่เป็นไปตามสัญญา ตนขอยืนยันว่ากว่า 300 นโยบายที่พรรคก้าวไกลทำไว้ มีเงินจ่ายและทำได้จริงแน่นอน โดยเฉพาะรัฐสวัสดิการที่ต้องเกิดขึ้นในประเทศไทย

นายพิธากล่าวต่อไป ว่าเพราะการกาให้พรรคก้าวไกล จะทำให้เกิด “9 เปลี่ยน” ครั้งประวัติศาสตร์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาในประเทศไทยก่อน ตามยุทธศาสตร์ “การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต” ของพรรคก้าวไกล เป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 3, ปากท้อง 4 และอนาคต 2 กล่าวคือ

1.เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่เราจะมีรัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน เปลี่ยนจากเผด็จการจำแลงให้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ

2.เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่จะเปลี่ยนประเทศที่ทุกอย่างถูกรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพให้เป็นประเทศไทย ด้วยการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ

3.เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่จะมีระบบการแก้ปัญหาทุตริต โดยพลิกโฉมเปลี่ยนจากรัฐปกปิดให้เป็นรัฐโปร่งใส

4.เปลี่ยนจากที่ดินนายทุน ขุนศึก ศักดินา ให้กลายเป็นที่ดินของประชาชน

5.สำหรับแรงงานทั่วประเทศ เปลี่ยนจากการขึ้นค่าแรงตามใจผู้มีอำนาจ เป็นการขึ้นค่าแรงที่แปรผันตามค่าครองชีพ โดยจะขึ้นทันที 450 บาท ก่อนขึ้นอัตโนมัติตามค่าครองชีพ

6.เปลี่ยนจากค่าไฟแพงให้เป็นค่าไฟแฟร์ สร้างประชาธิปไตยทางพลังงาน ด้วยเสรีโซลาร์เซลล์

7.เปลี่ยนจากสวัสดิการแบบลุ้นโชค เหมือนในช่วงโควิดที่ฝนตกไม่ทั่วฟ้า เยียวยาไม่ทั่วถึง ชีวิตนี้รำพึงคิดถึงแต่ความตาย พลิกโฉมให้เป็นสวัสดิการถ้วนหน้าที่ไม่ต้องพิสูจน์ความจน

8.นี่จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่จะเกิดการพลิกโฉมการศึกษาจากเรียนมากได้น้อยเป็นเรียนเน้นได้มาก คืนเวลาให้ครู ไม่ต้องทำงานธุรการ ไม่ต้องเฝ้าเวร ทำเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ ให้ครูได้มีเวลาไปสอนลูกหลานของเราได้อย่างเต็มที่

9.นี่จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ระบบเศรษฐกิจจะทำงานให้ทุกคนในประเทศ ไม่ใช่คนแค่ 1% ไม่ต้องรอให้เค้กโตก่อนแล้วค่อยเจียดมาแบ่งกัน แต่เราจะเริ่มแบ่งเค้กกันตั้งแต่ตอนนี้แล้วโตไปด้วยกัน

“ถ้าชอบวิถีแบบพรรคก้าวไกล ชอบวิธีปฏิบัติแบบพรรคก้าวไกล 14 พ.ค. ต้องกาพรรคก้าวไกลให้คนใหม่ไปเปลี่ยนแปลงประเทศ กาก้าวไกลให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม ให้ประเทศไทยก้าวหน้า การเลือกตั้งครั้งนี้คือเรื่องของพวกเราทุกคน ชัยชนะของพรรคก้าวไกลจะเป็นชัยชนะที่สูงสุดของประชาชนทุกคน เรามาไกลเกินกว่าจะแพ้แล้ว เราไม่สามารถพักได้ เราจะพักเมื่อเราชนะเท่านั้น ขอให้ทุกคนเดินทุกถนน เคาะทุกประตู ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงวันนี้ แล้วเราจะมาเปลี่ยนแปลงกรุงเทพ ประเทศไทย และโลกใบนี้ไปด้วยกัน”