เทียบฟอร์ม นโยบายพรรคการเมือง เอาใจคอหวย สู้ศึกเลือกตั้ง 2566

นโยบายพรรคการเมือง

เทียบฟอร์มนโยบายพรรคการเมือง พรรคก้าวไกล พรรคเปลี่ยน พรรคไทยสร้างไทย และพรรคชาติพัฒนากล้า เอาใจคอหวย สู้ศึกเลือกตั้ง 2566 

วันที่ 27 เมษายน 2566 ปัจจุบันมีการพิมพ์สลากจำหน่ายอยู่ที่ 100 ล้านฉบับต่องวด ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระบบคือ

1.ระบบตัวแทนจำหน่าย แบ่งเป็น บุคคลรายย่อยทั่วไป (ส่วนกลาง และภูมิภาค), คนพิการ, สมาคม/องค์กร/มูลนิธิ

2.ระบบซื้อ-จองล่วงหน้า แบ่งเป็น สลากซื้อ, สลากจอง

ในการเลือกตั้ง 2566 ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคการเมืองหลายพรรคต่างมีการนำเสนอนโยบายสลากกินแบ่งรัฐบาล “ประชาชาติธุรกิจ” เทียบฟอร์ม นโยบายพรรคการเมือง เอาใจคอหวย พรรคก้าวไกล พรรคเปลี่ยน พรรคไทยสร้างไทย และพรรคชาติพัฒนากล้า

พรรคก้าวไกล ชูนโยบายหวยใบเสร็จ

พรรคก้าวไกลที่เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ คนเดียว ชูนโยบายหวยใบเสร็จ โดย ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล นำเสนอมาตรการแก้ไขสถานการณ์เศรษฐกิจปากท้อง

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
แฟ้มภาพ

ศิริกัญญากล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตเงินเฟ้อ ข้าวของแพงค่าแรงถูก วิกฤตค่าครองชีพครั้งนี้กระทบต่อผู้มีรายได้น้อยมากที่สุด จึงเสนอ 3 มาตรการ เพื่อผ่าวิกฤตค่าครองชีพนี้ ได้แก่

1.เงินช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน ต้องไม่ใช่แค่ตรึงราคาสินค้า แต่ต้องเติมเงินในกระเป๋าประชาชนด้วย

2.หวยใบเสร็จ+โบนัส 20% โดยมีเงื่อนไขว่าร้านค้าที่ร่วมโครงการต้องออกใบเสร็จ และเมื่อออกใบเสร็จแล้วผู้ซื้อจะมีเลขที่สามารถเอาไปลุ้นรางวัลได้ทุก 2 เดือน ส่วนร้านค้าก็ได้กระตุ้นยอดขายเพราะมีการจับจ่ายมากขึ้น และรัฐก็จะมีฐานข้อมูล SMEs มากขึ้น ซึ่งจะทำให้การอุดหนุนช่วยเหลือในอนาคตทำได้ง่าย ตรงเป้ามากขึ้น

3.สินเชื่อ SMEs ดิจิทัล เพื่อส่งเสริมรายเล็กเข้าถึงแหล่งทุนมากขึ้น และส่งเสริมการแข่งขันของสถาบันการเงิน ลดการผูกขาด

นอท พรรคเปลี่ยน โชว์นโยบายหวยโอกาส

นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท หัวหน้าพรรคเปลี่ยน กล่าวว่า อาชีพคนขายหวยคืออาชีพหนึ่งที่สุจริตในสังคมไทย คนที่นั่งขายสลากกินแบ่งรัฐบาลอยู่คือคนที่หารายได้ให้กับประเทศปีละ 55,000 ล้านบาท แต่สำนักงานสลากฯ ไม่เคยให้เกียรติคนกลุ่มนี้เลย กลับบอกว่าเป็นอาชีพเสริม จึงอยากให้คนในสำนักงานสลากฯ มานั่งขายหวย เหมือนคนหาเช้ากินค่ำเหล่านี้สักวัน แล้วจะรู้ว่าต้องเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะขายหมด

นอท พรรคเปลี่ยน

นั่นจึงเป็นที่มาของนโยบาย “หวยโอกาส” ของพรรคเปลี่ยน ที่จะเพิ่มสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 เป็น 200 ใบ และจะพิมพ์สลากกินแบ่งรัฐบาลอีก 100 ล้านใบ เพื่อแก้ปัญหาหวยแพง และยังเพิ่มเงินเข้ารัฐได้อีก 55,000 ล้านบาท

ส่วนผู้ค้าสลากฯหรือหวย คือกลุ่มคนอาชีพอิสระ รัฐไม่มีสวัสดิการให้ พรรคเปลี่ยนก็มีนโยบาย เปลี่ยนชีวิตคนกลางคืน และอาชีพอิสระ ให้ทำมาหากินเท่าเทียม ผลักดันให้เข้าระบบเสียภาษี ให้มีระบบประกันสังคม สิทธิรักษาพยาบาล สวัสดิการเท่าเทียมคนทำงานประจำ

ไทยสร้างไทย ชูนโยบาย หวยบำเหน็จ

หวยบำเหน็จ หรือสลากการออมแห่งชาติ เป็นที่รู้จักครั้งแรกในฐานะนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ถูกปล่อยออกมาโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งปี 2562 เพียงไม่กี่สัปดาห์

โดยในการเลือกตั้งครั้งนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงนโยบายสลากการออมแห่งชาติ หรือหวยบำเหน็จของพรรคว่า เป็นนโยบายที่เอาความชอบของประชาชนส่วนใหญ่มาปรับ โดยการชวนประชาชนให้มาออมเงิน โดยการซื้อหวยทุกเดือน แล้วเงินไม่หายไปไหน ได้รับรางวัลคล้ายลอตเตอรี่ คือมีรางวัล 2 ตัว 3 ตัว จะซื้อมากหรือซื้อน้อยก็ได้ เป็นความเต็มใจนำเงินมาออม

“เงินที่ซื้อหวยไม่หายไปไหน แต่จะกลายเป็นเงินออมของประชาชน มีดอกเบี้ยและเงินปันผลให้ อายุ 20 ปีเริ่มซื้อ ก็ซื้อไปจนถึงอายุ 60 ปี โดยผู้ซื้อต้องมีบัญชีซื้อหวย แต่ต่างกันที่หวยบำเหน็จสามารถเลือกซื้อเลขได้ ซึ่งหากเสียชีวิตก่อนเกษียณเงินก็จะตกเป็นของทายาท โดยเบื้องต้นฉลากจะขายเป็นหน่วย หน่วยละ 50 บาท และประชาชนสามารถเลือกตัวเลขเพื่อลุ้นรางวัลได้” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

และการเลือกตั้ง 2566 ในครั้งนี้ก็ได้กลับมาอีกครั้ง แต่เป็นในนามพรรคไทยสร้างไทย โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์  ที่เสนอนโยบายหวยบำเหน็จอีกครั้ง โดยมีรายละเอียดของนโยบายว่า

ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุประมาณ 14 ล้านคน คิดเป็นเกือบร้อยละ 20 ของประชากรไทยทั้งหมด และเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง ผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 80 มีเงินออมไม่พอใช้หลังเกษียณ บางคนร่างกายไม่แข็งแรงหรือเจ็บป่วยไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้ ก็เลยไม่มีรายได้เพียงพอที่จะยังชีพเลี้ยงดูตนเอง

สุดท้ายจึงต้องตกเป็นภาระของลูกหลานที่ต้องมาคอยดูแล สร้างภาระและความลำบากให้แก่ลูกหลาน จนส่งผลกระทบไปถึงรายจ่ายของครอบครัว ทำให้ลูกหลานไม่สามารถที่จะตั้งเนื้อตั้งตัวได้

คนไทยกับหวยเป็นของคู่กัน มีคนไทยไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของประเทศ (ประมาณ 20 ล้านคน) ที่ชอบเล่นหวย ไม่ว่าจะเป็นหวยบนดิน (สลากกินแบ่งรัฐบาล) หรือหวยใต้ดิน เงินสะพัดหมุนเวียนในแวดวงหวยแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 250,000 ล้านบาท/ต่อปี จะเป็นการดีกว่าหรือไม่

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
แฟ้มภาพ

หากคนไทยสามารถนำเงินค่าซื้อหวยเหล่านี้กลับมาเป็นรายได้หลังเกษียณ หวยบำเหน็จจึงเป็นเครื่องมือในการออมเงินรูปแบบหนึ่ง นอกจากผู้ซื้อได้มีโอกาสลุ้นตัวเลขเหมือนซื้อหวย โดยไม่มีการบังคับซื้อ ไม่ต้องซื้อทุกเดือน ยังมีสิทธิได้เงินต้นที่ซื้อหวยคืน

โดยผู้ซื้อสามารถซื้อหวยบำเหน็จได้ผ่านแอปเป๋าตัง ผูกกับบัญชีธนาคาร ระบบตรวจรางวัลให้อัตโนมัติ และโอนเงินเข้าบัญชีให้ทันที เงินต้นจะถูกสะสมยอดในกองทุนหวยบำเหน็จ (กองทุนสลากการออมแห่งชาติ) ซึ่งสามารถดูยอดเงินสะสมได้จากแอปเป๋าตัง เมื่ออายุครบ 60 ปี 70 ปี หรือ 80 ปี (แล้วแต่กรณี) เงินต้นจะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารที่ผูกไว้กับแอปเป๋าตังทันที

ชาติพัฒนากล้า ผุดผลิตภัณฑ์ใหม่ แจกแจ็กพอต 1 ล้านบาททุกงวด

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา รื้อโครงสร้างสลากกินแบ่งว่า วลีอมตะที่เรามักได้ยินมาเสมอคือ คนรวยเล่นหุ้น คนจนเล่นหวย

ซึ่งหุ้นยิ่งเล่นยิ่งรวย แต่หวยประชาชนทั่วไป ซื้อความหวังด้วยการซื้อลอตเตอรี่ และมันก็ไม่มีค่าเมื่อไม่ถูกรางวัล ระบบสลากกินแบ่งถึงเวลาต้องเปิดโปง ถึงเวลาที่จะต้องมารื้อโครงสร้างสลากกินแบ่ง เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนในฐานะผู้เล่นมากขึ้น

นายกรณ์กล่าวว่า ปี 2557 มีลอตเตอรี่ขายงวดละเพียงแค่ 37 ล้านใบ เพิ่มขึ้นทุกปีเป็น 100 ล้านใบ ด้วยเหตุผลข้ออ้างของฝ่ายรัฐบาลว่าต้องการเพิ่มปริมาณเพื่อต่อสู้กับลอตเตอรี่ราคาแพง คือหวังว่าปริมาณเพิ่มขึ้นแล้วราคาลอตเตอรี่จะลดลง แต่ผลก็ตามที่เห็นกันว่าลอตเตอรี่ที่ซื้อขายตามแผงราคาไม่ได้ลดลง เฉลี่ยอยู่ที่ใบละ 100 บาท เมื่อมาเจาะลึกจากผลของการเพิ่มจำนวนลอตเตอรี่ ใครได้ประโยชน์บ้างและมหาศาล

นายกรณ์ จาติกวณิช
แฟ้มภาพ

ยอดขายปี 2557 มีรายได้โดยรวมของกองสลากอยู่ที่ประมาณ 60,000 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้นมาเป็น 170,000 ล้านบาท ในปัจจุบัน ในช่วงเวลาเดียวกัน รายได้ที่ส่งเข้ารัฐอยู่ที่ประมาณ 14,000 ล้าน เพิ่มขึ้นมาเป็น 44,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา

“เช่นเดียวกันกำไรของสำนักงานสลากฯ แต่ก่อน 1,000 ล้านต่อปี เพิ่มขึ้นมาจนปีล่าสุด อยู่ที่ระดับ 6,000 กว่าล้านต่อปี นี่คือสาเหตุที่เรามองว่าถึงเวลาที่เราควรต้องคืนรายได้ คืนกำไรส่วนนี้ ซึ่งล้วนเก็บได้จากประชาชนคนไทย 20 ล้านคนที่ซื้อลอตเตอรี่ทุก ๆ 16 วัน กลับคืนให้ประชาชน” นายกรณ์กล่าว

นายกรณ์กล่าวว่า ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา รัฐมีรายได้ 3.2 เท่า กองสลากกำไรเพิ่มขึ้น 5.8 เท่า แต่ราคาลอตเตอรี่ก็ยังแพงอยู่ ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ซ้ำแล้วกองสลากเพิ่งได้ขอมติจากคณะรัฐมนตรี ได้รับอนุมัติอย่างเป็นหลักการที่จะเพิ่ม สินค้าผลิตภัณฑ์ใหม่ ในอนาคตจะมีลอตโต้ 6 เบอร์ และจะมีสิ่งที่เรียก 3 ตัว N3 เป็นผลิตภัณฑ์เพิ่ม ซึ่งก็ยิ่งทำให้เพิ่มรายได้ให้กับกองสลากเพิ่มขึ้น เป็นเหตุที่เราต้องมาทบทวนเพื่อแบ่งปันกำไร วันนี้ ประเด็นที่อยากเสนอเพิ่มเติมจากงวดที่เพิ่งผ่านมา

“อันดับแรกขอให้ประชาชนซื้อลอตเตอรี่ผ่านแอปเป๋าตัง จะทำให้ระบบสามารถจะระบุได้ว่าผู้ซื้อมีภูมิลำเนาในจังหวัดใด โดยยึดตามบัตรประชาชน วิธีการที่จะกำหนดว่าเราจะได้รางวัลหรือไม่ในแต่ละจังหวัดคือ อิงกับรางวัลที่ 1 เลข 6 ตัวในแต่ละงวด ง่าย ๆ คือ เลขที่ใกล้รางวัลที่ 1 ที่สุดไม่ว่าจะบนหรือล่างของรางวัลที่ 1


ยกตัวอย่างเหมือนเราตีกอล์ฟ ให้ใกล้หลุมบาท และในรายที่ตีตกทราย ตกน้ำ ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีสิทธิ เพราะหากไม่มีใครที่ตีได้ใกล้หลุมเท่าท่าน ๆ ก็มีสิทธิได้รางวัล วิธีการนี้จะทำให้เราสามารถคืนกำไรที่ 5,500 ล้านบาทคืนคนไทย นอกจากนี้ ยังสามารถนำกำไรจากการขายลอตเตอรี่ของรัฐไปสนับสนุนทุนการศึกษา และทุนธุรกิจสร้างสรรค์ได้ เพื่อส่งเสริมให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ขึ้นมาในสังคมของเรา” นายกรณ์กล่าว