ธปท.ห่วงคนไทยหนี้ท่วม ติงนโยบายหาเสียงแบบ “ทอดแห”

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ แบงก์ชาติ เศรษฐกิจ การเมือง
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

วิกฤตโรคระบาดครั้งใหญ่เพิ่งจะซา ทั่วโลก รวมถึงไทยยังต้องมาเผชิญกับความปั่นป่วนจากการดำเนินนโยบายการเงินของเหล่าประเทศมหาอำนาจที่ต้องการแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูง ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วและแรง ตลอดจนปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้ามาซ้ำเติมในทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางปัญหาเหล่านี้ เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะเดียวกันกลางปีนี้ ประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ ล่าสุด “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน สะท้อนมุมมองการดำเนินนโยบายการเงิน และ ความเสี่ยงที่เป็นห่วง

เศรษฐกิจไทยเผชิญ “4 ช็อก”

“ดร.เศรษฐพุฒิ” ฉายภาพว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาเผชิญกับ 4 ช็อก ได้แก่ 1.การระบาดของโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก ส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2563 หดตัว -6.1% 2.สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาพลังงานและอาหารพุ่งขึ้น ส่งผลต่อเงินเฟ้อไทยปรับเพิ่มขึ้นสูงถึง 8.1% ในเดือน ส.ค. 2565 3.เงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงโดยพร้อมเพรียงกัน ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 20 ปี เงินบาทอ่อนค่ามากสุดในรอบ 16 ปี ที่ระดับ 38.40 บาทต่อดอลลาร์

“ทั้งหมดนี้นำมาสู่ช็อกที่ 4.น้ำลด ตอผุด เมื่อบริบทโลกที่เคยอยู่ในภาวะดอกเบี้ยต่ำมานาน มาเจอการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง ทำให้บริษัทที่ทำธุรกิจบนสมมติฐานดอกเบี้ยต่ำจึงเกิดปัญหา เหมือนเช่น ธนาคารในอังกฤษและสหรัฐอย่าง Silicon Valley Bank (SVB) เป็นต้น อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อสถาบันการเงินไทยจำกัด”

ปีนี้ฟื้นต่อเนื่อง-ครึ่งหลังโตกว่า 4%

“ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวว่า ช่วงก่อนโควิด จีดีพีไทยเติบโต 2.1% และตอนโควิดมีช่วงแย่สุดหดตัว -12.3% โดยในช่วงโควิดมีนักท่องเที่ยวเหลือแค่ 31,000 คน จากเดิม 40 ล้านคน สะท้อนถึงช็อกที่เกิดขึ้น แต่ปี 2566 นี้ฟื้นตัวดี กลับมาที่ 28 ล้านคน

ตัวเลขล่าสุดนักท่องเที่ยวเข้ามา 66,000 คนต่อวัน ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ตัวเลขเสมือนการว่างงาน (ทำงานน้อยกว่า 4 ชั่วโมง) ที่ ธปท.เป็นห่วง ปัจจุบันกลับมาใกล้เคียงก่อนโควิดอยู่ที่ 2.6 ล้านคน จากช่วงโควิดที่สูงถึง 6.2 ล้านคน

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อน่าจะอยู่กรอบที่วางไว้ 2.5% ในช่วงครึ่งหลังปี โดยเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.4% สูงกว่าที่เคยเห็น โดยเฉพาะเงินเฟ้อพื้นฐานภาคบริการที่กังวลเป็นพิเศษ เนื่องจากการฟื้นตัวภาคท่องเที่ยวสูง ทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานค่อนข้างหนืด และเป็นตัวที่จับตามอง

แม้ว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้ากรอบเร็วกว่าคาด แต่เข้ากรอบเพียงเดือนเดียว โดย ธปท.ต้องมั่นใจว่าในระยะข้างหน้าเครื่องยนต์เงินเฟ้อจะไม่ติด ดังนั้นจึงต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป

“เศรษฐกิจไทยมองไปข้างหน้าเทรนด์การฟื้นตัวชัดขึ้น โดยช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรกที่เราคาดว่าจะขยายตัว 2.9-3% ส่วนครึ่งปีหลังจะโตสูงกว่า 4% โดยการส่งออกที่ผ่านมาไม่ดี ครึ่งปีแรกน่าจะหดตัว -7% แต่น่าจะเป็นบวกเกิน 4% ในครึ่งหลัง ส่วนนักท่องเที่ยวจะมาอีก 16 ล้านคน ในครึ่งปีหลัง ส่งผลต่อรายได้และการบริโภคปรับดีขึ้น ซึ่งเราให้ครึ่งปีแรกการบริโภค 4% และครึ่งหลังกว่า 3% ดังนั้นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะเป็นท่องเที่ยวและการบริโภค”

จับตาวิกฤตการเงินโลกยังไม่จบ

“ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาสถาบันการเงินในอังกฤษและสหรัฐนั้น คงไม่มีใครกล้าฟันธงว่า ปัญหาจบหรือยัง แต่หากดูดัชนีชี้วัด ความเสี่ยงเริ่มต่ำลงและคลี่คลายลง แต่มองว่าปัญหายังไม่น่าจบ เพราะคาดว่าอาการ “น้ำลด ตอผุด” คงจะต้องมีเกิดขึ้นกับที่อื่น ๆ ที่ดำเนินนโยบายภายใต้สมมติฐานดอกเบี้ยต่ำมานาน ซึ่งก่อนหน้านี้มีหลายคนวิเคราะห์ว่าจะเกิดขึ้นกับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (น็อนแบงก์) แต่ปัจจุบันปัญหามาโผล่ที่ธนาคารพาณิชย์ หรือสถาบันการเงินท้องถิ่น

“เราจับตามองและมีความกังวลภายใต้บริบทการขึ้นดอกเบี้ยแรง มองว่าความผันผวนของตลาดการเงินโลกยังคงมีอยู่ แม้ว่าสถานการณ์จะดูคลี่คลายลง แต่หากสังเกตจะเห็นว่าสหรัฐออกมาตรการจัดเต็ม หรือออกยาแรง แต่สถานการณ์ยังไม่นิ่ง เราจึงต้องจับตาดูความเสี่ยงต่าง ๆ โดยรวมของโลกที่มีนัยสำคัญต่อไทย เช่น ทิศทางของจีน และอาการน้ำลด ตอผุด จากดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด”

ห่วงหนี้ครัวเรือนสูงจ่อออกมาตรการ

ส่วนผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทยนั้น “ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวว่า เป็นเรื่อง “Top of Mind” ที่ ธปท.ให้ความสำคัญ จึงเป็นที่มาของการปรับดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ขึ้นเร็วและแรงเหมือนต่างประเทศ เนื่องจากจุดเปราะบางที่ ธปท.ห่วงที่สุด คือหนี้ครัวเรือน แม้ว่าสัดส่วนประมาณ 60% จะเป็นหนี้ดอกเบี้ยคงที่ อย่างไรก็ตามหนี้ครัวเรือนที่ปรับขึ้นสูงและลดลงช้า จะเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ลำบาก

“ธปท.อยากเห็นหนี้ครัวเรือนไม่เกิน 80% ต่อจีดีพี ซึ่งแม้ว่าตอนนี้จะปรับลงจากเดิม 90% มาอยู่ที่ 87% แต่จะเห็นว่าลงช้า ซึ่งหากปล่อยให้ลดลงเองจะกระทบต่อการฟื้นตัว จึงต้องมีมาตรการดูแลหนี้ครัวเรือน โดย ธปท.พยายามแก้ปัญหา แต่การแก้ปัญหาต้องดูให้ครบวงจร ทั้งการก่อหนี้ การชำระหนี้ ไม่ให้กลับมาเป็นหนี้อีก”

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า การแก้หนี้ครัวเรือนจะต้องถูกหลักการ และไม่สร้างภาระเพิ่มเติมให้กับลูกหนี้ ซึ่งมาตรการแนวพักหนี้ไม่ควรใช้ เพราะดอกเบี้ยวิ่งตลอด แต่ช่วงโควิดจำเป็นต้องทำในวงกว้าง แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ก็ต้องปรับมาเป็นแก้แบบเฉพาะเจาะจง และเน้นปรับโครงสร้างหนี้ โดยไม่สร้างวัฒนธรรมจงใจผิดนัดชำระหนี้ (Moral Hazard) ที่จะทำให้คนมีกำลังจ่าย ไม่ยอมจ่าย รวมถึงไม่ไปยกเลิกเกณฑ์อะไรที่ทำให้เจ้าหนี้ประเมินประวัติลูกหนี้ได้ยาก

“มาตรการที่ทำอยู่ เช่น ปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาวเรายังทำอยู่สำหรับลูกหนี้ที่มีปัญหา แต่ยังไม่พอ เราจะออกมาตรการเพิ่มเติม เช่น การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) การปล่อยสินเชื่อตามความเสี่ยง (Risk Based Pricing) และนโยบาย Macroprudential ซึ่งภายในเดือน มิ.ย.นี้จะมีการฉายภาพในเรื่องของมาตรการให้ชัดเจนขึ้น”

อย่างไรก็ดี แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) มองไปข้างหน้าแม้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่อยู่ราว 2.8% แต่จะไม่ได้เป็นแบบก้าวกระโดด หรือเป็นหน้าผาเอ็นพีแอล (NPL Cliff) ตามที่มีหลายคนกังวล

เงินบาทผันผวน-ดันใช้เงิน 4 สกุล

สำหรับค่าเงินบาทที่ผันผวนมากกว่าค่าเงินในภูมิภาคนั้น “ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวว่า ยอมรับว่าเงินบาทผันผวนกว่าภูมิภาค และผันผวนมากขึ้นหากเทียบกับอดีต แต่ถ้าเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก ๆ ก็ถือว่าผันผวนน้อยกว่า และความผันผวนของค่าเงินบาทหลัก ๆ มาจากปัจจัยโลกถึง 83%

“ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทผันผวนมากขึ้น หลัก ๆ มาจากไทยมีการผูกกับจีนค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค และมีธุรกรรมที่เกี่ยวกับเงินหยวนมากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ดังนั้นเวลามีกระแสข่าวจากจีน จะเห็นว่าค่าเงินบาทถูกกระทบมากกว่าสกุลอื่น ๆ ถัดมาคือ ทองคำ เนื่องจากคนไทยนิยมซื้อทองคำค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังมีประเด็นการเข้าไปลงทุนผ่านกองทุน FIF (Foreign Investment Fund) ที่ต้องป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (hedging)”

ทั้งนี้ ธปท.อยู่ระหว่างการดำเนินนโยบายเพิ่มเติมเพื่อช่วยลดความผันผวนค่าเงินบาท ทั้งการเดินหน้าแนวนโยบาย FX ecosystem เพื่อให้เงินไหลเข้าไหลออกสมดุลมากขึ้น รวมถึงการสนับสนุนการใช้สกุลเงินท้องถิ่นมากขึ้น โดยเฉพาะใน 4 สกุลเงิน ริงกิต-มาเลเซีย รูเปียห์-อินโดนีเซีย เยน-ญี่ปุ่น และหยวน-จีน โดยเฉพาะเงินหยวน ที่ ธปท.อยู่ระหว่างหารือร่วมกับรัฐบาลจีน เพื่อลดอุปสรรคในการใช้เงินหยวนให้ลดลง เพราะที่ผ่านมายังใช้ค่อนข้างต่ำ และไม่มากเท่าที่ควร

ติงนโยบายหาเสียง “ทอดแห” ไม่ยั่งยืน

สำหรับการเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งของไทยในขณะนี้ ที่มีการหาเสียงสู้กันด้วยนโยบายที่ค่อนข้างส่งผลต่อฐานะการคลังของประเทศนั้น “ผู้ว่าการ ธปท.” กล่าวว่า บริบทเศรษฐกิจไทยตอนนี้เรื่อง “เสถียรภาพ” สำคัญมากกว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น” ดังนั้น นโยบายอะไรที่มากระทบเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี โดยนโยบายที่สำคัญกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นควรจะเป็นสร้างศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว ทำอะไรที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้เศรษฐกิจไปได้ในอนาคต หรือการมุ่งไปสู่เศรษฐกิจยั่งยืน

โดยที่ผ่านมานโยบายที่มุ่งกระตุ้นตรงนั้นตรงนี้ ได้ผลชั่วคราวในแง่ตัวเลข แต่มีผลข้างเคียง เช่น หนี้ตามมา ดังนั้นเวลาทำนโยบายจะต้องดูให้ครบ ว่าผลของการกระตุ้นที่จะเกิดขึ้นตามมา และค่าเสียโอกาสของงบประมาณที่มีจำกัด

“นโยบายที่สร้างพฤติกรรมการเงินที่มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ อาจต้องระมัดระวังมากขึ้น และต้องคำนึงถึงเสถียรภาพเป็นสำคัญ การกระตุ้นด้วยนโยบายประชานิยม คือการดูแลในระดับที่มากเกินไป นโยบายอันหนึ่งที่บ้านเราไม่ควรเห็นคือ นโยบายทอดแห ลดค่านั่นค่านี่ เป็นอะไรที่ไม่เฉพาะเจาะจง ทำให้เงินไม่ไปในจุดที่ควรไป เช่น นโยบายบางอัน คนรวยอาจจะใช้ได้ ดังนั้นนโยบายควรเป็นนโยบายแบบพุ่งเป้า หรือ Targeted เช่น บัตรคนจน ลงไปที่คนจน ดีกว่าทอดแห เพราะงบประมาณจะช่วยเสริมสร้างการเติบโตในระยะยาว” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว