เจาะใจขุนพล กทม. 5 พรรค กางตัวเลขชิงเก้าอี้ ส.ส. 33 เขตเลือกตั้ง

ส.ส.กทม.
คอลัมน์ : Politics policy people forum

สนามเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร ในรอบ 2 ทศวรรษ ไม่มีพรรคไหนครองเก้าอี้ ส.ส.ในกรุงเทพฯแบบชนะขาด มีการต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองขั้วอำนาจทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย สู้กับพรรคประชาธิปัตย์

แต่เลือกตั้ง 2562 มีพรรคอนาคตใหม่ ต่อมาเป็นพรรคก้าวไกล เข้ามาแชร์ที่นั่ง ส.ส.กับฝั่งพรรคเพื่อไทย ส่วนพลังประชารัฐ เข้ามาชิงแต้มพรรคประชาธิปัตย์ จนพรรคประชาธิปัตย์สูญพันธุ์

สำหรับเลือกตั้ง 2566 การต่อสู้ในสนาม กทม.ยิ่งระอุดุเดือด เมื่อพรรคการเมืองที่มีจุดยืนเดียวกัน คือก้าวไกล-เพื่อไทย ต้องห้ำหั่นแย่งชิงโหวตเตอร์ในฐานเดียวกัน ยังมีพรรคไทยสร้างไทย ที่แอบ ๆ มาขอคะแนนบัตรปาร์ตี้ลิสต์ในกลุ่มนี้

ขณะที่ฝั่งพรรคพลังประชารัฐ ต้องเผชิญมรสุมความขัดแย้งภายใน 3 ป. ถูกหั่นกำลังออกมาเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ ในจังหวะที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการฟื้นศรัทธา ไม่ต้องการ “สูญพันธุ์” ซ้ำสอง

ต่อไปนี้คือบทสนทนาคนการเมืองระดับ “ขุนพล” 5 พรรคการเมือง ฉายภาพการต่อสู้ห้ำหั่นกันในสมรภูมิเมืองหลวง…กรุงเทพมหานครขณะนี้

พปชร.ชูกองทุน 3 แสนล้าน

“สกลธี ภัททิยกุล” กรรมการบริหาร และหัวหน้าทีมผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หลังจากพลาดท่าในสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เขาถูกดึงมาเป็น “ขุนพล” นำทัพผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ โดยตั้งเป้าว่า พรรคพลังประชารัฐจะได้ 12 ที่นั่ง เท่ากับการเลือกตั้งปี 2562

“ลุงป้อม (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค) ให้คนมาทาบทามให้ดูแลทีม กทม.ของพรรค หน้าที่เอานโยบายตอนลงผู้ว่าฯ กทม. มาขยายต่อในระดับประเทศ และช่วยในการคัดตัวผู้สมัคร เฟ้นหาตัวผู้สมัคร ตอนนี้เราเป็นพี่เลี้ยง ไกด์ให้ เพราะบางคนก็ใหม่เลย บางคนมีประสบการณ์ คนที่ใหม่ก็ช่วยทั้งหมด ตั้งแต่ป้ายหาเสียง นโยบาย เทรนว่าหาเสียงอย่างไร เซตทีมให้ และจัดเวทีปราศรัยด้วย”

“ทุกสัปดาห์บังคับให้ผู้สมัครทุกคนปราศรัย เพราะตอนอยู่พรรคประชาธิปัตย์เรายังไม่เคยปราศรัย แม้มีเวทีแต่ก็จะมีเบอร์ใหญ่ ๆ ของพรรคมาปราศรัย แต่คราวนี้พรรคพลังประชารัฐก็ฝึกให้พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนได้มีโอกาสในการปราศรัย”

สกลธีบอกว่า กระแส กทม. ณ วันนี้ยังบอกอะไรมากไม่ได้ เพราะกระแส กทม.เวลามันมามันมา เวลามันไปมันไป พร้อมจะเปลี่ยนได้ในข้ามคืน สมมติมีกระแสมาอย่างดี พอถึงเวลาอาจวันที่ 11-12 พฤษภาคมมีเรื่องกระทบที่รุนแรงกับพรรค ผมว่ามีโอกาสไปเหมือนกัน หรืออาจของผม โพลผู้ว่าฯ ทุกโพล ให้ผมเพียงแค่ 1% คือแค่หลักหมื่น ตั้งแต่วันที่ผมลงสมัคร แต่ผมจบออกมาได้ 2.3 แสน 2.4 แสนคะแนน ซึ่งเป็น 8-9% ห่างกันเยอะมาก นี่เป็นตัวอย่างบางทีโพลก็วัดไม่ได้

เขาบอกว่านโยบายพรรคพลังประชารัฐใน กทม. เรื่องแรกคือจราจร ต้องทำอย่างไรให้คนใช้รถส่วนตัวให้น้อยลง ต้องทำขนส่งสาธารณะให้มากยิ่งขึ้น ยังมีอีกหลายเส้นต้องการการเสริมให้เชื่อมต่อกัน และต้องมีขนส่งรายรอบด้วย เช่น รถบัสอีวีขนส่งคนตามบ้านมาสู่จุดใหญ่ ๆ ซึ่งจะทำให้ฝุ่น PM 2.5 เบาบางลงด้วย

“อีกปัญหาคือ ท้องถิ่นมีเงินไม่พอ กทม.ถ้ามีเงินบริหารแค่นี้ 50 เขต คนอยู่ 10 กว่าล้านคน ไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดด้วย พรรคพลังประชารัฐคิดขึ้นมาว่าจะมีกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้าน ซึ่งเป็นกองทุนระดับประเทศ แต่ กทม.จะได้ประโยชน์เยอะ เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลกลางเอาเงินช่วยท้องถิ่น จะช่วยทำเรื่องขนส่งสาธารณะ ท่อระบายน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ”

สกลธีพูดถึงแคมเปญเลือกตั้งใหญ่ของพรรคเพื่อไทยที่ให้เลือกแบบมียุทธศาสตร์ ไม่แบ่งใจไปพรรคอื่นว่า “อยากให้คนเลือก เลือกด้วยความรู้สึกที่แท้จริง ตอนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แม้จะแพ้ก็รู้ว่าคนเชียร์ผมมีมากแค่ไหน และอนาคตก็เป็นกำลังใจให้ผมต่อ ถ้าวันหนึ่งรณรงค์เลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์สำเร็จ ผมได้แค่ 3 หมื่น คงไม่มีกำลังใจไปต่อ และเหมือนกับสิ่งที่เราตั้งใจและอยากทำ”

ศิธาย้ำหลัก ไม่ร่วมกับ 2 ลุง

พรรคไทยสร้างไทยมีตัวแทนคือ “ศิธา ทิวารี” แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค และผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับ 5 บอกว่า สนามเลือกตั้ง กทม.ในวันนี้เปลี่ยนไปจากอดีต “วันนี้ กทม. การเลือกตั้ง กทม.จะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม เพราะมีกระสุนเยอะแบบที่คิดไม่ถึง มีพรรคการเมืองไม่มีกระแสใน กทม. รวมถึงพรรคการเมืองฝั่งรัฐบาลที่ใช้เงินจำนวนมาก บางเขตสู้กันมาก”

“มีการซื้อตัว ส.ส. 80 ล้าน แล้วลงในพื้นที่แบบนั้นจริง ๆ ต่อไปนักการเมือง กทม.ลงไปแล้วทำอย่างเดิมจะไม่ได้แล้ว เพราะไปสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดี ไปถามในแต่ละเขตจะรู้หมด ซึ่งแต่ก่อน กทม.อยู่ที่กระแส แต่เดี๋ยวนี้กระสุนเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ”

เขาบอกว่าปัญหาที่ต้องแก้ หากพรรคไทยสร้างไทยร่วมรัฐบาล เช่น เรื่องรถติด การแก้ปัญหารถเยอะขนาดนี้ ถนนแค่นี้ แก้ไม่ได้ในฐานะ กทม. ต้องสนับสนุนให้ กทม.มีรถไฟฟ้าให้เร็วที่สุด ทั้ง 3 ส่วนถ้าประสานกัน รัฐบาลควรให้เข้าไปช่วยเหลือ สำคัญที่สุดคือรถไฟฟ้า ถ้าเราเป็นรัฐบาลก็จะแก้ไขตรงนี้ด้วย

“ศิธา” พูดถึงเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ว่า “ความเป็นพี่ใหญ่ (พรรคเพื่อไทย) ต้องโอบอ้อมอารี ดูแลพี่น้อง และใจกว้าง และทำให้น้อง ๆ เห็นว่าเป็นเสาหลักประชาธิปไตย ที่บอกว่าต้องเลือกแบบมียุทธศาสตร์ ถ้าไม่เลือกก้าวไกล ไม่เลือกไทยสร้างไทย แล้วไง จุดยืนของผมและของก้าวไกลก็ไม่โลเล และไม่เคยคิดไปรวมกับลุงคนไหนเลยด้วยซ้ำ”

พี่เอ้ยกระดับการศึกษา

ส่วน “พี่เอ้” สุชัชชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ขุนพลจากพรรคประชาธิปัตย์ ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่ 12 เชื่อมั่นว่าจะได้ ส.ส. กทม. 11 ที่นั่ง

ในฐานะที่เคยลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. มองเห็นปัญหาหลัก ๆ กทม. 3 เรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข กทม.มีปัญหามากเหลือเกิน แต่สิ่งที่วิกฤตที่สุดคือปัญหาสิ่งแวดล้อม PM 2.5 เกินที่จะรับได้ น้ำท่วมมันหนักกว่าทุกปีที่ผ่านมา ถ้าหากไม่ทำอะไร กทม.จมทะเล อากาศหายใจไม่ได้ ปัญหาที่สอง กทม.เริ่มแข่งขันไม่ได้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคนทำงาน กทม. ทักษะการศึกษาเปรียบเทียบกับเมืองหลวงอย่างกัวลาลัมเปอร์ สิงคโปร์ กรุงโซล โตเกียว สู้ไม่ได้จริง ๆ

ดังนั้น กทม.จะยกระดับให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่เฉพาะการหากินด้านท่องเที่ยว ต้องยกระดับด้านการศึกษา พรรคประชาธิปัตย์จึงมุ่งเน้นให้คนไทยเรียนปริญญาตรีฟรี ไม่เช่นนั้นเราต้องมาหาเสียงเรื่องความยากจนต่อเนื่อง สาม เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่าเดิม อาชญากรรม สิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นตลอด

วันนี้ กทม.วิกฤตจริง ๆ ที่เหลือเป็นเรื่องพื้นที่สีเขียว ถ้าไม่เปลี่ยนกฎหมาย ยังให้คนตัดต้นไม้ ไปปลูกต้นไม้เล็ก ๆ เพื่อที่จะคืนภาษี สุดท้ายก็ไม่ได้ภาษีจริง ๆ กทม.จะกลายเป็นเมืองคอนกรีตโดยสมบูรณ์แบบ และมันจะทำลายทุกอย่างโดยสิ้นเชิง สุดท้ายเรื่องผู้สูงอายุถึง 2 ล้านคน ประชากรมากที่สุด เป็นอันตรายที่อันตรายที่สุด พรรคประชาธิปัตย์เต็มที่ ตรวจสุขภาพฟรี ใช้บัตรประชาชนแค่ใบเดียว

ก้าวไกล อย่าเลือกด้วยความกลัว

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ตัวตึงจากพรรคก้าวไกล ในฐานะ “พี่เลี้ยง” ผู้สมัคร ส.ส.กทม. กล่าวถึงกระแสใน กทม.ที่ไม่แน่นอนสามารถเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืนว่า พอเรารู้ว่าต้องเผชิญกับกระแสที่ไม่แน่นอน สิ่งที่พรรคการเมืองควรทำก็คือ ตัวเรานั่นแหละที่ต้องแน่นอน ปักธง มีจุดยืนที่ชัดเจน

ถามทุกคนพรรคก้าวไกล จนถึงหัวคะแนนธรรมชาติก็ตอบตรงกันไปแล้ว จุดยืนที่ชัดเจนของเรา ตรงไปตรงมา พร้อมชนปัญหาที่ต้นตอ อะไรจะแกว่งแกว่งไป แต่พรรคก้าวไกลจริงใจ ตรงไปตรงมาเหมือนเดิม

เช่น ปัญหาค่าไฟแพง ที่พรรคก้าวไกลพูดมาตลอดเวลา เจอนายทุนผูกขาดสุดท้ายความลำบากจะเกิดกับประชาชน นี่คือนายทุนผูกขาดโรงไฟฟ้า ประชาชนต้องการค่าไฟที่แฟร์ ไม่ใช่ค่าไฟที่แพง ยาเสพติด ยาบ้าเม็ดละ 5 บาท ทำไมนายทุนสีเทาถึงปราบไม่ได้

“ให้พรรคก้าวไกลเข้าไปจัดการด้วยการปฏิรูปตำรวจ รวมถึงการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลก้าวไกล คุณไม่ต้องเอาไข่ต้ม 1 ซีก ไปบี้กับข้าวแล้วคลุกให้ลูกกิน

เพราะเราจะเอางบประมาณมาทำสวัสดิการ 3 พันบาทสำหรับผู้สูงอายุ 1,200 บาทสำหรับเด็กเล็ก เงินสวัสดิการพออยู่ในกระเป๋าประชาชนจะกระจายตัว กระจายรายได้สู่ตลาดและชุมชน”

นอกจากนี้ มีนโยบายชัดเจน อุดหนุน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อให้ทุกจังหวัดเปลี่ยนเป็นรถเมล์ไฟฟ้า โดยเฉพาะใน กทม.จะต้องมีการเชื่อมต่อกับระบบราง เพื่อให้การเคลื่อนย้ายตัวเองครบวงจร ไม่ต้องจ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง และไม่ต้องจ่ายค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน

“อยากให้เลือกด้วยความหวัง ไม่อยากให้เลือกด้วยความกลัว เชื่อถือก้าวไกลมีตำรารับมือ 250 ส.ว.อยู่แล้ว รัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่เป็นจริงหรอก สมมติอยู่ดี ๆ กล้าตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะต้องเจอกับนรกบนดินจริง ๆ ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถอดถอนนายกฯ และ ครม.ทั้งคณะ ตอนนี้ ส.ว. 250 อ่อนแอมากแล้ว กำลังจะหมดอายุ กำลังลงถังขยะ ต้องเลือกด้วยความหวัง อย่าเลือกด้วยความกลัว”

เลือกเพื่อไทย เปลี่ยนขั้วอำนาจ

ปิดท้ายด้วย “พวงเพ็ชร ชุนละเอียด” ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย ที่หวังได้ ส.ส.กทม.เกิน 20 ที่นั่ง บอกว่า โค้งสุดท้ายจะสะวิงโหวตไปที่ใคร แต่บอกได้เลยว่า ไม่เชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะมาแซงที่ 1 เพราะลำบาก ที่ชนะนำ 10% นี่เยอะมาก แบบ 30% กับ 20% มีเยอะ ตัวนี้ยังรู้สึกว่ายังสะวิงได้ เพราะเขาแพ้แค่ 10% ยังสามารถ push ได้ ซึ่ง 10% เท่ากับ 5 พันคะแนน และยังมี 6-7 คน ที่นำ 50% คนอื่นก็ตามไม่ทันแล้ว

โค้งสุดท้าย ให้ผู้สมัคร ส.ส.ขยันลงพื้นที่ เน้นขยายนโยบาย สำคัญที่สุดคือเรื่องเศรษฐกิจ เงินดิจิทัล 10,000 บาท ทำความเข้าใจว่ามาจากไหน มาจากภาษี การรีดไขมันออกมาจากงบประมาณต่าง ๆ รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้จีดีพีโตประมาณ 5% ต่อปี พอมีเงินเข้าไปหมุนเวียนในระบบ เงินก็จะกลับมาในรูปของภาษี

“นโยบาย กทม. ทั้งแคมเปญ 2 แสนบาทในชุมชน โรงพยาบาล 50 เขต ที่หาเสียงไว้ช่วงเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ทุกอย่างจะสำเร็จได้ต่อเมื่อเราเป็นรัฐบาล”

“รวมถึงนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย สีเขียว สีส้ม ที่อีนุงตุงนังอยู่ตอนนี้ ถ้าเราเป็นเราจะลงมือทันที เพื่อจัดการสัญญาอะไรต่าง ๆ จะเอาเข้า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อมาจัดการ”

เราตั้งเป้าว่าไม่เอาขั้วเดิม เราต้องให้ความมั่นใจ และให้ความหวังกับคนทั้งประเทศ โดยเฉพาะ กทม. ว่าเขาเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด

สิ่งเดียวที่เราอยากจะขอคือ ขอมือของประชาชนมาเลือกเราให้แลนด์สไลด์ ได้เป็นรัฐบาล ถ้าเราไม่แลนด์สไลด์ฝ่ายรัฐบาลก็ไปรวมกันได้อีก ถ้าฝั่งเรายังไม่รวม ฝ่ายเขาก็เป็นรัฐบาลชุดเดิม ความเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เกิด

“ดังนั้น ขอร้อง ขอความเมตตาเลย มือของคุณทุกมือ ถ้าคุณจะกาอนาคตของคุณเองก็ขอให้กาพรรคเพื่อไทย เพื่อให้เราได้เปลี่ยนแปลง”