วุฒิสภาไม่เห็นชอบ “สถาพร วิสาพรหม” นั่งกรรมการ ป.ป.ช.

ที่ประชุมวุฒิสภา ไม่ให้ความเห็นชอบ

ที่ประชุมวุฒิสภา ไม่ให้ความเห็นชอบ “สถาพร วิสาพรหม” รองประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ นั่งเป็นกรรมการ ป.ป.ช. เหตุคุณสมบัติไม่ถึงอธิบดีผู้พิพากษา ไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย

วันที่ 23 พฤษภาคม 2566 เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา สมัยวิสามัญ ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบ นายสถาพร วิสาพรหม รองประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เป็นบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

หลังจากคณะกรรมาธิการสามัญ (กมธ.) เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม ที่มี พล.อ.อู้ด เบื้องบน ส.ว. เป็นประธาน กมธ. พิจารณาแล้วเสร็จ โดยเป็นการพิจารณาและลงมติแบบลับ

หลังการลงคะแนนและนับคะแนนเสร็จสิ้น พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ประกาศผลการลงคะแนน ผลปรากฏว่า ที่ประชุมวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ 41 คะแนน ไม่ให้ความเห็นชอบ 138 คะแนน ไม่ออกเสียง 27 คะแนน

จึงถือว่านายสถาพรไม่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา เนื่องจากได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ว.ที่มีอยู่ของวุฒิสภา จึงเป็นผู้ไม่ได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.

ทั้งนี้ ก่อนการประชุมแบบลับ นายประพันธ์ คูณมี ส.ว. ในฐานะ กมธ.ตรวจสอบประวัติ ได้นำเสนอรายงานว่า การตรวจสอบประวัติได้รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับคุณสมบัติของนายสถาพรที่ไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาตรา 9(1) ที่กำหนดให้ต้องรับราชการ หรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีผู้พิพากษาไม่น้อยกว่า 5 ปี

แต่ปัจจุบันนายสถาพรเป็นรองประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ และก่อนหน้านั้นเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลอุทธรณ์ในคดีชำนัญพิเศษ ไม่เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลใดมาก่อน ดังนั้น นายสถาพรไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย ทั้งนี้ ข้อร้องเรียนดังกล่าวเป็นจดหมายสนเท่ห์ ลงชื่อผู้ช่วยผู้พิพากษารุ่นที่ 29 รุ่นเดียวกับนายสถาพร

นายประพันธ์กล่าวด้วยว่า หนังสือร้องเรียนระบุด้วยว่า การถืออัตราเงินเดือนเท่ากันเป็นเกณฑ์เทียบไม่มีกฎหมายใดให้ทำได้ จะทำให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นตำแหน่งเทียบเท่าอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น และมีคำกล่าวอ้างเป็นหนังสือของศาลยุติธรรม ศย.003/113 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 กรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการแต่งตั้งโยกย้ายและลงโทษทางวินัยมีมติยืนยัน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2565 ตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ไม่ใช่ตำแหน่งเทียบเท่าอธิบดีผู้พิพากษาขึ้นไป ตามประกาศของ ก.ต.ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.

นายประพันธ์กล่าวว่า หากตีความว่า 2 ตำแหน่งเทียบเท่ากับอธิบดีผู้พิพากษาแล้ว สิทธิสมัครตามรัฐธรรมนูญจะเข้าตามมาตรา 9(1) แต่จะมีประเด็นที่ไม่มีมาตรฐานต่อการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ซึ่ง กมธ.ส่วนใหญ่มีมติว่าการวินิจฉัยของกรรมการสรรหาผูกพันเฉพาะผู้สมัครและกรรมการ ไม่มีผลผูกพันต่อ ส.ว.ที่จะให้ความเห็นชอบ