เปิดเส้นทางชีวิตชูวิทย์ สีสันฉูดฉาดในวงการเมือง ธุรกิจสีเทา-แฉเพื่อชาติ

นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

เปิดประวัติ-เส้นทางชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ธุรกิจสีเทา อดีตนักการเมือง สู่จอมแฉขวัญใจชาวโซเชียล

วันที่ 4 สิงหาคม 2566 นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เขามักจะออกมาเคลื่อนไหว และแฉเกี่ยวกับธุรกิจสีเทาอยู่บ่อย ๆ จนเป็นขวัญใจชาวโซเชียลอยู่ในขณะนี้

โดยวานนี้ (3 ส.ค. 66) ที่เดอะล็อบบี้ โรงแรมเดอะเดวิส สุขุมวิท 24 ชูวิทย์เปิดเผยว่า “เมื่อเช้าผมไปฉีดคีโมมา ระยะเวลาผมเหลืออีกไม่เยอะหรอก ผมไม่จำเป็นต้องปิดบัง ผมพูดไป หรือผมตายไป อีกวันนึงก็เหมือนเดิม ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ผมทำ คุณเอาตรงนี้เป็นประเด็นดีกว่า คุณอย่าไปสนใจผมเลย ทุกคนไปหมดแหละครับ วันนี้พวกเราเห็นหน้ากัน ผมอยู่ในคุก ผมเก็บมา 80 ศพ เห็นทุกขเวทนามาทุกอย่าง”

ประวัติ

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ปี 2504 อายุ 61 ปี เป็นบุตรคนสุดท้อง ในจำนวนพี่น้อง 8 คน เป็นชาย 5 คน หญิง 4 คน ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ฮ่องกง ก่อนจะย้ายมายังประเทศไทย โดยเติบโตย่านเยาวราช ครอบครัวทำธุรกิจนำเข้า และผลิตแบรนด์กางเกงยีนส์

ชูวิทย์จบชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนสหพาณิชย์ ก่อนจะเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาตอนมัธยมต้น และโรงเรียนเทพศิรินทร์ตอนมัธยมปลาย จบปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

Advertisment

อาณาจักรธุรกิจ

ชูวิทย์ได้เริ่มทำบ้านจัดสรร และเปิดร้านอาบอบนวด “วิคทอเรีย ซีเคร็ท” โดยมีกิจการทั้งหมด 6 แห่ง ต่อมาได้เปิดมูลนิธิ “ต้นตระกูลกมลวิศิษฎ์” ให้การสนับสนุนนก่อนส้างป้อมที่พักเจ้าหน้าที่ตำรวจตามแยกไฟแดง ต่อมาเกิดความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกมาเปิดเผยเรื่องส่วย จนได้รับฉายาว่า ”เสี่ยอ่าง”

นอกจากนี้ ชูวิทย์ยังเป็นเจ้าของโรงแรม The Davis Bangkok Hotel และเจ้าของที่ดินชื่อ “สวนชูวิทย์” ทั้งยังเป็นกรรมการผู้จัดการในบริษัท ภาติฌาน จำกัด, บริษัท ซี.ดี. แลนด์ จำกัด, เจ้าของบริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด, กรรมการบริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ และประธานบริษัท เดวิสกรุ๊ป ซิลเวอร์สตาร์ จำกัด อีกด้วย

Advertisment

เส้นทางการเมือง

ชูวิทย์ได้เข้ามาสู่การเมือง โดยการลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ด้วยเบอร์ 15 เมื่อปี 2547 แม้ไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนเสียงกว่า 300,000 คะแนน เป็นลำดับที่ 3 ก่อนจะนำพรรคของตัวเองอย่าง “ต้นตระกูลไทย” ไปรวมกับพรรค “ชาติไทย” แล้วขึ้นเป็นรองหัวหน้าพรรค

ต่อมาชูวิทย์ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย (สส.) ก่อนจะถูกให้พ้นสภาพเนื่องจากยังทำงานไม่ครบจำนวน 90 วัน หลังเป็นสมาชิกพรรคชาติไทย จึงได้หันไปลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.) แต่ก็ถูกเพิกถอนอีกครั้ง เนื่องจากยังลาออกจากตำแหน่ง สส.ไม่ครบ 1 ปี

ในปี 2551 ชูวิทย์ได้ลาออกจากพรรคชาติไทยพัฒนา แล้วมาลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกครั้ง โดยเน้นตรวจสอบการทำงานของอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อมาได้จดทะเบียนตั้งพรรคการเมือง ชื่อ “พรรคสู้เพื่อไทย” มีสัญลักษณ์รูปกำปั้น มีสโลแกนว่า “แตกต่างไม่แตกแยก”

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

ในปี 2553 ชูวิทย์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค “รักประเทศไทย” มีสโลแกนว่า “ฉันรักคุณ” พร้อมประกาศว่าจะเป็นฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบรัฐบาล

ผลการเลือกตั้งในปี 2554 พรรครักประเทศไทยได้คะแนนเสียงเกือบ 1 ล้านคะแนน ส่งผลให้ได้ สส.เข้าสภาถึง 4 คน ทำให้มีบทบาทในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย ก่อนจะขยับมาเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการตำรวจสภาผู้แทนราษฎรในเวลาต่อมา

ฤดูเลือกตั้ง มีเรื่องกับขาใหญ่ภูมิใจไทย

กัญชาเสรีเป็นนโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่หาเสียงไว้ในเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2562 หลังจากอนุทิน ชาญวีรกูล ดำรงตำแหน่งกระทรวงสาธารณสุข ได้เริ่มผลักดันนโยบายกัญชาเสรี จนกระทั่งออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขเพื่อปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565

พรรคภูมิใจไทยมีความพยายามผลักดันร่างพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง พ.ศ. … ผ่านสภา แต่ไม่สามารถผลักดันจนประสบผลสำเร็จได้ทันก่อนการปิดสมัยประชุมสภาเมื่อปี 2566

ชูวิทย์เคลื่อนไหว รณรงค์ต่อต้านกัญชาเสรีตั้งแต่ช่วงก่อนการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ชูสโลแกน “เราไม่เอากัญชา เอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด”

พรรคภูมิใจไทยไม่รอช้า เป็นโจทก์ยื่นฟ้องชูวิทย์ต่อศาลแพ่งเรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย และได้ยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างพิจารณาเป็นกรณีฉุกเฉิน ห้ามมิให้จำเลยกล่าวหรือไขข่าวเกี่ยวกับกัญชาในทำนองหรือในลักษณะที่ว่ากล่าวให้ร้าย อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โดยศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามที่โจทก์ขอ

ต่อมาชูวิทย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งขอคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างพิจารณา ศาลไต่สวนและพิจารณาคำร้องของจำเลยแล้ว จึงมีคำสั่งดังนี้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ทางไต่สวนของจำเลยได้ความว่า จำเลยได้กล่าวหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องของกัญชาเป็นการทั่วไป

โดยกล่าวถึงประโยชน์และโทษของกัญชารวมอยู่ด้วย ซึ่งการกล่าวของจำเลยได้กล่าวตามความเห็นสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย คำเสนอของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยเรื่องกัญชา ข้อเสนอคณะแพทย์เกี่ยวกับนโยบายกัญชาของประเทศไทย และข้อห่วงใยของเลขาธิการองค์กรของผู้บริโภค จำเลยไม่ได้กล่าวหรือแสดงความคิดเห็นถึงโจทก์เป็นการเฉพาะแต่เพียงอย่างเดียว

การกล่าวหรือแสดงความคิดเห็นของจำเลยในเรื่องของกัญชา ทำให้ประชาชนได้รับทราบถึงประโยชน์และโทษของกัญชา จึงถือได้ว่าเป็นประโยชน์แก่สุขภาพของประชาชนเป็นส่วนมาก กรณีนี้จึงมีเหตุยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณา ลงวันที่ 5 เมษายน 2566

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

ในช่วงโค้งสุดท้ายในการเลือกตั้ง ชูวิทย์เดินสายไปยังเวทีปราศรัยของพรรคต่าง ๆ ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งปี 2566 เพื่อสอบถามความเห็นต่อนโยบายกัญชาเสรี ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรคชาติไทยพัฒนา ทุกพรรคมีแนวทางในอนาคตร่วมกัน คือ “นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด และใช้ในทางการแพทย์เท่านั้น”

พรรคภูมิใจไทย ส่งทีมทนายความประจำพรรคยื่นฟ้องชูวิทย์ในข้อหาละเมิด และมีการคิดค่าเสียหาย 100 ล้านบาท พร้อมยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวกับผู้พิพากษา และขอการไต่สวนฉุกเฉินไม่ให้ชูวิทย์ป่วนเวทีปราศรัย แถลงข่าว หรือพูดแสดงความคิดเห็นถึงโจทก์ ต่อมาศาลแพ่ง สั่งยกคำร้องของพรรคภูมิใจไทยที่ขอคุ้มครองชั่วคราว ชี้เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพเกินสมควร

ป่วยมะเร็งตับ เหลือเวลาไม่เกิน 8 เดือน

สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว เปิดเผยว่า ชูวิทย์ ป่วยมะเร็งตับ หมอบอกเหลือเวลา 8 เดือน-ปีครึ่ง แต่ขอใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายด้วยความสุข ทำในสิ่งที่อยากทำ เชื่อ หลายคนคงดีใจ และคิดถึงในวันที่ไม่อยู่แล้ว เหมือนบางอย่างขาดหายไป แต่สุดท้ายทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยน

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ให้สัมภาษณ์ถึงอาการป่วยโรคมะเร็งของตนเอง โดยระบุว่า ตนใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายต่างจากคนอื่น เพราะตนกินเหล้า และสูบบุหรี่ การที่ออกมาแฉ ออกมาพูด เนื่องจากคนอื่นไม่กล้า ซึ่งขอยืนยันว่าทำด้วยความเต็มใจ และทำด้วยความสุขของตัวเอง

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า แน่นอนว่า ครอบครัว ลูกเมีย เพื่อนฝูงที่อยากให้อยู่แบบสงบ ไปพักผ่อน แต่ก็อยากให้ทุกคนทราบว่า ตนได้ใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายที่แตกต่างกับคนอื่น ซึ่งตนเองอาจจะนั่งในสวน หรือบนโซฟา คิดระลึกถึงสิ่งที่ผ่านมาว่าตนทำอะไรไป

หรืออาจจะนอนอยู่ในโรงพยาบาลมีสายยางระโยงระยาง หรือไม่วันหนึ่งอาจจะตื่นขึ้นมาแล้วเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต ซึ่งอยากบอกว่าตนเป็นคนที่ใช้ชีวิตทุกวันให้เหมือนวันสุดท้าย ดังนั้นอะไรที่ทำได้ ก็จะทำ อะไรที่มีความสุขทำได้ก็ทำ

หมอบอกว่าอย่าทำ ผมจึงถามว่า ถ้าผมไม่ทำแล้วมันจะหายหรือไม่ เมื่อหมอบอกไม่หาย ถ้างั้นก็อย่าบอกผมอย่าทำแล้วกัน เพราะผมทำแล้วมีความสุข ดังนั้นการกระทำของผม ทำให้กับประเทศ และสังคม ผมมีความสุข ผมไม่ต้องการตำแหน่ง จะให้เงินหรือไม่ ผมก็ไม่ต้องการ คุณให้เงินผม ผมก็ไปให้รพ.

ดังนั้นถ้าถามว่าผมเป็นอะไรไหม สิ่งที่ผมเป็น มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ผมทำเลย ผมเป็นคนที่ใช้ชีวิตด้วยความสุขในวันสุดท้าย และวันสุดท้ายอย่างมีความสุข และผมก็เลือกใช้ชีวิตแบบนั้น”

นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ตนไม่เลือกวิถีชีวิตที่ไม่กินตามที่หมอสั่ง เพราะกินแล้วก็ไม่หาย ซึ่งถ้าไม่หายก็ซ้ำไปเลยให้มีความสุข ในวันนี้เราต้องมีความสุข ฉะนั้นตนจึงอยากจะบอกกับทุกคนว่า “ไวน์ขวดละ 3 แสน มึงรีบเปิดกินเลยนะ กินซะตั้งแต่วันนี้ เพราะกูไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะได้กินหรือเปล่า” นั้นคือการนิยามการใช้ชีวิตของตนเอง บางคนก็อาจจะไม่ได้ใช้ ดังนั้นชีวิตใครชีวิตมัน เมื่อตนเลือกวิถีทางนี้แล้ว มันเป็นวิถีทางปลายทางของตน ซึ่งตนเป็นคนใช้ชีวิตแบบนี้ เลือกเอาความสุขในวาระสุดท้าย

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

นายชูวิทย์ ยังกล่าวอีกว่า ตนมีกำหนดการที่หมอระบุไว้ว่าไม่เกิน 8 เดือน และเชื่อว่าหลายคนคงดีใจ และอาจจะคิดถึงตนเองในวันที่ไม่อยู่แล้ว ซึ่งจะรู้สึกว่าอะไรขาดหายไป แต่วันต่อไปทุกอย่างก็จะกลับสู่สภาวะเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยน โดยตนเองก็จะได้ไปในที่สวยงาม ไปในที่ที่ไปแล้วทุกคนมีความสุข ลูกหลานไม่ต้องไปจัดงานให้สิ้นเปลือง เพราะตนเองได้บริจาคร่างกาย

และมองว่าเรื่องเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ขออย่าไปคิดมากหรือกลัว ส่วนตนเองไม่กลัว คนอื่นจึงกลัวตน เพราะหวังจะเป็นใหญ่เป็นโต ได้รับตำแหน่ง ซึ่งตนเห็นว่าไม่เหมาะสมก็เลยนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนให้ประชาชนเป็นผู้พิจารณา

“ผมมีหมายกำหนดการ เขาแม็กซิมั่มผมอยู่ไม่เกิน 8 เดือน เพราะฉะนั้นคุณต้องดีใจนะ คุณอาจจะคิดถึงผมในวันที่ผมไม่อยู่ คุณอาจจะรู้สึกว่ามันขาดอะไรไป แต่วันรุ่งขึ้นทุกอย่างก็เหมือนเดิม มันไม่มีอะไรเปลี่ยน นี่ยังดีนะที่ผมมาคุยกับคุณ ดีกว่าบางคนด้วยซ้ำที่เปิดมาอัมพาต จำอะไรไม่ได้

ผมยังมีโอกาสได้ร่ำลา อย่าไปคิดมาก เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ผมไม่กลัว คุณถึงกลัวผมไง เพราะหวังว่าจะใหญ่จะโต จะได้ตำแหน่ง แต่ผมเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็เลยนำเรื่องนี้มาพูดให้พวกคุณ และให้สังคมได้ฟัง ให้ได้พิจารณา” นายชูวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย

ชูวิทย์ลุยแฉครั้งสำคัญช่วงสุดท้ายของชีวิตในเวลาที่จะทำการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 3  “แฉเพื่อชาติ” เศรษฐา ทวีสิน ปมเลี่ยงภาษีทำรัฐเสียหาย ไม่หวั่นแม้ใครนินทา กระแนะกระแหน