ปลดล็อกกฎหมาย 1,700 ฉบับ ดร.สมเกียรติ ดันประเทศไทยฝ่าพายุเศรษฐกิจ

ในภาวะการเมืองโลกผันผวน สงครามระหว่างประเทศระเบิดขึ้นหลายจุด ทั้งภาคพื้นยุโรป ตะวันออกกลาง แม้กระทั่งการสู้รบในเมียนมา ฉุดดึงเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะถดถอย เป็นเวลาเดียวกับที่ โลกทั้งใบกำลังเผชิญการเปลี่ยนแลนด์สเคปทางเทคโนโลยี นวัตกรรม AI เข้ามาปฏิวัติทุกวงการ

ไทย กำลังอยู่ท่ามกลางพายุ ทั้งการเมืองระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี “ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์” ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) บรรยายพิเศษ ในหัวข้อ Unlocked Thailand ในงานสัมมนา Prachachat Business Forum 2024 ว่า เรากำลังต้องฝ่าพายุการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งอ่อนไหวมาก เทคโนโลยีก้าวกระโดด พายุทั้งนั้นที่จะมาถึงประเทศไทย

และการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ถ้าเราถูกมัดไว้ ขยับเขยื้อนไม่ได้เราจะไปต่ออย่างไร ถึงเวลาที่ต้อง Unlock ประเทศไทย Unlocked Thailand คำถามคืออะไรที่ล็อกประเทศไทย ขอยก 3 เรื่อง กฎระเบียบโบราณ การศึกษาจำท่อง การทดลองโดยไม่เรียนรู้ ถ้าปลดล็อก 3 เรื่องนี้ อนาคตประเทศไทยมีแน่ เพราะเอกชนไทยมีความเข้มแข็ง บริษัทใหญ่มีความพร้อม Startup, SMEs มีไดนามิก ขาดแต่กลไกสำคัญที่ไปล็อกธุรกิจของประชาชนในการทำมาหากินคือภาครัฐ

ภาครัฐเป็นตัวอย่างของการมีกฎระเบียบโบราณ เป็นตัวสำคัญที่มัดประเทศไทยไว้ ตั้งแต่กฎหมายคนเข้าเมือง อายุ 45 ปี คนต่างด้าวเข้ามาประเทศไทย นายกฯอุตส่าห์มาลงทุนในประเทศไทย แต่นักลงทุนต้องรายงานตัวทุก 90 วัน ทั้งที่เรามีมาตรการต่าง ๆ ในการดึงนักลงทุน แต่นักลงทุนบ่นเรื่องนี้ บ่นแล้วบ่นอีก เพราะกฎหมาย 45 ปี ออกสมัยที่เราเป็นห่วงด้านความมั่นคง จึงอยากให้ต่างชาติไปรายงานตัวอยู่ ถ้าหากมีการย้ายสถานที่ทุกวันก็ต้องรายงานตัวทุกวัน แม้มีพยายามผ่อนคลาย แต่ยังช้ามาก

กฎหมายเก่าไม่ตาย-กฎหมายใหม่เข้ามา

มีกฎหมายยุคคุณลุง กฎหมายเครื่องขยายเสียง อายุ 74 ปี ถ้าใครพูดภาษาอังกฤษออกไมโครโฟนติดคุก มีโทษทางอาญา เป็นกฎหมายซึ่งออกในยุคที่เรายังไม่ไว้วางใจคนต่างชาติ กฎหมายการพนัน อายุ 89 ปี ใครทำโปรโมชั่นชิงโชคต้องขออนุญาตทุกพื้นที่ กฎหมายค้าของเก่า อายุ 93 ปี

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุค Low Carbon ต้องรีไซเคิล ไปสู่เศรษฐกิจ BCG แต่เราติดกฎหมายค้าของเก่า ซึ่งห่วงเรื่องโบราณวัตถุต่าง ๆ จึงควบคุมอย่างเข้มข้น ทำให้ซาเล้งขายของรีไซเคิลต้องขออนุญาต เหล่านี้เป็นกฎระเบียบโบราณ

กฎหมายเก่ายังไม่ตาย กฎหมายใหม่ตามเข้ามาเต็มไปหมด โดยเฉพาะรัฐบาลก่อนหน้า บางเรื่องเป็นกฎหมายมีประโยชน์ แต่บางเรื่องน่าสงสัย สร้างภาระให้ประชาชนต้องขอใบอนุญาต ทำให้หากินยาก

ทีดีอาร์ไอเคยศึกษามีใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจมากน้อยขนาดไหน โดยศึกษาเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว พบว่า 1,700 ฉบับ เกี่ยวข้องกับกระบวนการเดินจากโต๊ะนั้นไปหาโต๊ะนี้ ติดต่อหน่วยงานนั้น หน่วยงานนี้ เช่นจะตั้งร้านอาหาร 1 ร้านต้องขอใบอนุญาตอย่างน้อย 6-7 ใบ ถ้าจะขายแอลกอฮอล์ต้องขอใบอนุญาตเพิ่มอีก ทำให้การทำมาหากินของประชาชนยากลำบาก จะทำธุรกิจโรงแรมเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ต้องมีใบอนุญาตต่าง ๆ อีกมากมาย

“การขอใบอนุญาตที่มากมายทำให้ประชาชนหากินลำบาก นอกจากเสียเวลาติดต่อราชการ การปฏิบัติตามเงื่อนไขตามใบอนุญาตต่าง ๆ ก็เป็นไปอย่างยากมาก วิธีที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าไปได้เหมือนกับที่หลายประเทศทำกัน ปล่อยให้ธุรกิจโบยบิน กิโยตินกฎหมาย เอากฎหมายมาจัดการ” ดร.สมเกียรติกล่าว

กิโยตินกฎหมายล้าหลัง

ดร.สมเกียรติ ยกตัวอย่าง เกาหลีใต้ โละกฎหมาย 48% นับตั้งแต่ประสบปัญหาเหมือนประเทศไทยในวิกฤตปี’40 กลับกลับฟื้นตัวมาได้เร็วกว่าประเทศไทยมากมาย เช่นเดียวกับเวียดนาม ที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งของเรา มีการจัดการใบอนุญาตต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมาย จนวันนี้เขากลับมา พร้อมดึงดูดการลงทุน และทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้

การทดลองกิโยตินกฎหมายในประเทศไทย เคยพบว่าประสบความสำเร็จ ทำให้การทำธุรกิจในประเทศไทยง่ายขึ้น เช่น ในปี 2560 เราเคยมี Ease of Doing Business ที่จัดโดยธนาคารโลก ในอันดับ 26 แต่ปี 2563 อันดับเราดีขึ้น 5 อันดับ เพราะลดกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นปัญหา และทีดีอาร์ไอ ศึกษาว่าหากเราดู 1,000 กระบวนการขออนุญาต แล้วเราแก้ไข 43 กระบวนการให้ดีขึ้น เลิกอีก 39-40% ก็จะทำให้ประเทศไทยมีการเติบโตเศรษฐกิจที่ดีขึ้นได้ทันที

“ทุกวันนี้เราห่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจ เทเงินเข้าไปใส่ในระบบ แต่จริง ๆ วิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีมากโดยไม่ต้องใช้เงิน คือแก้ไขกฎระเบียบให้ชาวบ้านทำมาหากินได้ง่าย ๆ”

การศึกษาที่ถูกล็อก

ดร.สมเกียรติกล่าวว่า 2.การศึกษาที่เน้นท่องจำ เน้นคำว่า “จำและท่อง” เรื่องนี้สำคัญมากเพราะจะทำให้เราไม่สามารถเผชิญโลกที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เพราะเราเรียนรู้ความรู้ที่นิ่งอยู่จากการท่องจำ

และไม่ว่าเรียนอะไรก็อยากให้คนไทยคิดเหมือนกัน การที่มีโรงเรียนหนึ่งหาญกล้าจะให้เด็กนักเรียนสอบปากเปล่า อภิปรายคีย์เวิร์ดสำคัญ ๆ เช่น ลี้ภัยการเมือง เสรีภาพเครื่องแบบนักเรียน มิจฉาชีพดิจิทัล ค่าแรงขั้นต่ำ จึงไม่ได้รับการยอมรับเลย ในระบบการศึกษาไทย อยากให้คนคิดเหมือนกัน แล้วเราจะมีนวัตกรรมที่ไปอยู่กับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากได้อย่างไร

เราจึงเห็นว่า การศึกษาไทยแย่ลงตลอด ถ้าเป็นอย่างนี้น่าจะไปรอดยาก ถ้าดูการสอบนานาชาติของเด็กอายุ 15 ปีที่เรียกว่าการสอบ PISA ก็จะเห็นว่าตกต่ำตลอดมาและตกต่ำมาตลอด 20 ปี

“ที่น่าเสียดายคือจนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นการขับเคลื่อนครั้งใหญ่ ฝ่าด่านการศึกษาที่เน้นท่องจำออกไปได้เลย”

ประธานทีดีอาร์ไอ จึงยกตัวอย่าง 2 ประเทศ คือ สิงคโปร์ และฟินแลนด์ มาเทียบเคียงว่า สิงคโปร์ เพื่อนบ้านของเราที่เป็นเบอร์ 1 ของการสอบ PISA ปรับหลักสูตรทุก 6 ปี แม้กระทั่งที่เคยเป็นเบอร์ 1 อย่างฟินแลนด์ ปรับหลักสูตรทุก 10 ปีแต่เราไม่ได้ปรับหลักสูตร ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งเป็นปีที่สูสีกับการออกไอโฟนรุ่นแรก แต่ปัจจุบัน ไอโฟน 15 ไปแล้ว

หลักสูตรไทย เน้นความรู้ เน้นการท่องจำมากกว่าสมรรถนะว่าทำอะไรได้ เน้นการคิดท่องจำมากกว่าการคิดขั้นสูง ต่างประเทศกำลังเปลี่ยนไปสู่หลักสูตรอีกแบบหนึ่งคือฐานสมรรถนะ แต่หลักสูตรนี้พอนำมาใช้ในประเทศไทยก็ถูกล็อกไว้

ปลดล็อกวิธีการทำงาน

ดร.สมเกียรติกล่าวว่า 3.ประเทศไทยต้องปลดล็อกวิธีการทำงาน เราชอบทดลองโดยไม่เรียนรู้ ถ้าเราไม่เรียนรู้ ไม่เก็บผลมาประเมินต่อไปให้ดีขึ้น เราจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาประเทศที่แก้ยาก ๆ ได้ เช่น เรารู้ว่าการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยเสียชีวิต ระดับ 2-3 หมื่นคนต่อปี เรามีปัญหาเรื่องจราจรเยอะ เพราะโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้ออกแบบมาดีพอ

ทุกวงการการแก้ไขปัญหาจะต้องเกิดขึ้นจากการวางแผน การลงมือทำ การประเมินผล และการปรับแผน เพื่อทำให้การทำงานดีขึ้น Plan-Do-Check-Act หรือ PDCA ที่ญี่ปุ่น จะเริ่มจากการมีข้อมูลว่าถนนจุดไหนเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ มองภาพรวมจากสถิติ เครื่องมือสมัยใหม่ แล้วไปดูหน้างานว่าทำไมเกิดปัญหาจึงหาวิธีปรับ

คิดให้ดีถ้าจะแจกเงินดิจิทัล

2 การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท กระบวนการวางแผนอาจจะดีไม่พอ ไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต

ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่จะช่วยทำให้การวางแผนดีขึ้นและกระตุ้นเศรษฐกิจได้สำเร็จ คือการดูบทเรียนในอดีต ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่ต่างประเทศด้วย ในกรณีประเทศไทย ถ้าศึกษาดูจะพบว่าตัวคูณทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากการอัดฉีดเงินไม่ได้สูงอย่างที่รัฐบาลปัจจุบันคาดการณ์ไว้ ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรถึงเวลาทำถึงจะรู้กัน แต่ถ้าเตรียมพร้อมให้ดี ต้องดูข้อมูลจากอดีตก่อน

“ตัวคูณเศรษฐกิจของการแจกเงิน ถ้าแจกเงินสำหรับคนทั่วไป ตัวคูณประมาณ 0.4-0.5 ไม่ได้สูงขึ้นเป็นลมพายุอย่างที่รัฐบาลบอกว่าจะเป็นพายุหมุน 4-5 รอบ เช่นเดียวกับต่างประเทศลมพายุจากการแจกเงินก็ไม่ได้เกิดขึ้น ยกเว้นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำจริง ๆ ดังนั้น คือสิ่งที่ควรคิดให้ดี”

ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า และการแจกเงินโดยไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง มีบทเรียนทั่วโลกมาแล้ว อาจเกิดความเสี่ยงสูงได้ ถ้ารัฐบาลไม่รักษาฐานะทางการคลังให้ดี ไปกระตุ้นเศรษฐกิจและหนี้สาธารณะพุ่งขึ้นมา ประเด็นที่จะตามมาคือ บริษัทเอกชนถูกลดเครดิตเรตติ้ง และตามด้วยเครดิตเรตติ้งประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาที่น่ากลัว อยากให้คิดรอบคอบมากขึ้น

และอยากให้เห็นบทเรียนของการที่รัฐบาลชอบมีปัญหากับธนาคารกลาง ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วทั่วโลก เช่น ในตุรกี ไล่ผู้ว่าการแบงก์ชาติออก 3 คน เพราะรัฐบาลอยากจะลดดอกเบี้ย ผลคือเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 80% หรือในอังกฤษ นายกฯลิซ ทรัสส์ ซึ่งเป็นนายกฯ อยู่ในอำนาจสั้นที่สุด เพราะต้องการลดภาษี ขาดดุลการคลัง ไม่ฟังแบงก์ชาติอังกฤษ สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้

อีกเรื่องหนึ่งคือ โครงการแลนด์บริดจ์ ที่รัฐบาลสนใจ แต่กระบวนการวางแผนยังค่อนข้างมีปัญหา อยากเห็นรัฐบาลคิดให้ดี คิดให้รอบคอบก่อน เพราะมีประสบการณ์ทั่วโลกเมกะโปรเจ็กต์ที่จะไม่สำเร็จของโครงการขนาดใหญ่ในโลกทั่วไป สาเหตุที่มีร่วมกันคือ มองโลกดีเกินจริง และเมินความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

ไม่ใช่การมองโลกในแง่ดีอย่างเข้าใจ แต่เป็นการพยายามปั้นตัวเลขออกมาให้สวยเพื่ออยากลงทุนทำโครงการ ดังนั้น หัวใจสำคัญคือ ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการให้ดี

กรณีแลนด์บริดจ์จะพบปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ มีผลศึกษาความเป็นไปได้ 2 ชุดที่ต่างกัน ในกรณีของกระทรวงคมนาคม โครงการแลนด์บริดจ์ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจดี สร้างมูลค่า 2.6 แสนล้านบาท

ในขณะที่ผลศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ 1% ต่ำกว่าต้นทุนทางการเงินของภาครัฐ คือเป็นโครงการไม่ควรทำ และถ้าดูเฉพาะผลตอบแทนทางการเงิน ติดลบด้วยซ้ำไป

“ถ้าประเทศไทยจะก้าวเดินไปได้ ธุรกิจมีความพร้อม รายใหญ่พร้อมมากกว่า รายเล็กพยายามปรับตัว แต่ถ้าภาครัฐไม่ปรับตัวไม่ปลดล็อกประเทศไทย กฎหมายโบราณ การศึกษาจำท่อง ทดลองโดยไม่เรียนรู้ ประเทศก็ยากจะก้าวได้” ดร.สมเกียรติ กล่าว