เพื่อไทย หาเลือดใหม่-ไล่งูเห่า เปิดศึกรื้อเก้าอี้ ส.ส. 400 เขต รับเลือกตั้ง

เพื่อไทย

พรรคเพื่อไทย นอกจากต้องรบกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในพรรคยังเปิดศึกรบกันเอง !

เพราะต้องการเขย่าขวด เฟ้นหาตัวจริง (ส.ส.) ลงสนามก่อนเลือกตั้ง คู่ขนานกับการสร้าง “ตัวตน” ของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พ่วง “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ให้เป็นที่รู้จักของมวลชน พร้อมกับสร้างเลือดใหม่ young blood เป็นหน้าเป็นตาของพรรค

ทว่าผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากปฏิบัติการ “เขย่าขวด” พิสูจน์เลือดแท้ หาเลือดใหม่แทนที่หน้าเก่า กลับทำให้เกิดความ “ร้าวฉาน” ภายใน

เพราะ “ขุนพลห้องแอร์” ของพรรคเพื่อไทย ส่ง “คนหน้าใหม่” เป็นผู้ท้าชิงในพื้นที่ ทำให้ ส.ส.เจ้าของพื้นที่ ซึ่งไม่ผ่านรอบควอลิฟาย หลายคนอึดอัด ไม่ว่า จ.ชัยภูมิ จ.อุดรธานี จ.หนองบัวลำภู จ.ขอนแก่น จ.นครพนม รวมถึง จ.อำนาจเจริญ ก็เริ่มมีการแซะ ส.ส.คนเก่าให้หลุดเก้าอี้

อีกทั้งยังมีผู้ร้องเรียนว่า ผู้มีอำนาจในพรรคเพื่อไทย ได้จับมือกับ “ประธานโซน” บางโซน หาผู้สมัคร ส.ส.หน้าใหม่-ทุนหนา เข้ามาแทน ส.ส.เจ้าของพื้นที่เดิม

บางคนตัดสินใจ เริ่มหาพรรคใหม่ไปสังกัดเพื่อตัดปัญหา จึงเกิดปรากฏการณ์ยกมือโหวตให้กับพรรคใหม่ที่ตัวเองจะไปอยู่ในการเลือกตั้งซีซั่นหน้า แต่ถูกพรรคเพื่อไทย “ขึ้นบัญชีงูเห่า”

ส.ส.เขตเพื่อไทยบางรายมีพี่ มีน้อง ครอบครัว อยู่กับพรรคคู่แข่ง ก็ถูกตัดออกจากสารบบเพื่อไทย และพรรคพยายามเฟ้นหาตัวแทนคนใหม่

ส.ส.อีสานรายหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากการเขย่าขวดครั้งนี้ แต่เห็นใจเพื่อน ส.ส.ที่ถูกกระทำว่า “เนื่องจากในพรรคเกิดปัญหาจากคนบางกลุ่มที่อยากสร้างอาณาจักร เปิดช่องให้มีการวิ่งเต้นส่งคนลง ส.ส.แทนผู้สมัครปัจจุบัน โดยอ้างถึงนายใหญ่ดูไบว่าเห็นชอบในการส่งคนใหม่ลงไปแทน ซึ่งจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ เพราะก็แอบอ้างกันหมด”

“ดังนั้นจะแลนด์สไลด์ หรือแลน (ตะกวด ในภาษาอีสาน) สไลด์ยังไม่รู้” แหล่งข่าวกล่าว

เปิดใจงูเห่า

แต่หนึ่งใน ส.ส.เพื่อไทย ที่ยอมประกาศเป็น “งูเห่า” หลังยกมือสวนมติฝ่ายค้านในการพิจารณากฎหมายงบประมาณ 2566 ชัดเจน คือ “จักรพรรดิ ไชยสาส์น” ส.ส.อุดรธานี เขาเล่าว่า ย้อนไปช่วงก่อนปีใหม่ 2565 ช่วงนั้นทำป้าย เพราะมีแคมเปญพรุ่งนี้เพื่อไทย เราก็ลงป้ายเต็มพื้นที่ เพื่อยืนยันว่าเราอยู่กับพรรคเพื่อไทย แต่พอหลังปีใหม่ พรรคก็ตัดทุกอย่าง ไม่หือไม่อือกับผม สุดท้ายก็ส่งข่าวผ่านคนอื่นมาอีกว่า คราวหน้าจะไม่ส่งคุณลง ส.ส.นะ

“มีเพื่อน ส.ส.เป็นห่วง แนะนำให้ไปคุยกับผู้บริหาร คนที่มีอำนาจไหม แต่ผมบอกไปว่า เฮ้ย…ไม่คุยหรอก ผมหาที่อยู่ใหม่ที่สบายใจกว่า ที่มีการคุยกันในระดับหนึ่งมากกว่า ไม่ใช่ผ่านคนอื่นมา แล้วก็ไม่เรียกไปคุย ตอนนี้จะเรียกไปคุย ถ้าผมไปก็ถือว่าไม่มีศักดิ์ศรีเลยสิ”

เขาบอกสาเหตุที่เชื่อว่า ถูกพรรคเพื่อไทยหมางเมินคือ “คิดว่าผมจะย้ายไปร่วมงานทางการเมืองพรรคเดียวกับน้องชาย นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น แกนนำพรรคไทยสร้างไทย โดยไม่ได้มาสอบถามอะไรก่อนเลย”

“ผมกับต่อพงษ์ คนละคนกัน เขาอยู่กรุงเทพฯ ผมอยู่อุดรฯ คนละพื้นที่ ไม่มีใครครอบงำผมได้ตั้งแต่เกิดมา เพราะเกิดมาก็มีแค่ นายจักรพรรดิ ไชยสาส์น แค่คนเดียวในโลกเท่านั้น เราคิดต่างทางการเมืองกันได้ ทำไมจะต้องให้คิดเหมือนกัน”

“เราเป็นคน ไม่ใช่หุ่นยนต์ แฝดบางคู่ ยังคิดเห็นไม่เหมือนกัน เพราะไม่ใช่คนคนเดียวกัน เมื่อเขามองเป็นงูเห่า หรืออะไรก็แล้วแต่ ถูกบางคนปักธงไว้ว่า เดี๋ยวก็คงจะย้ายพรรคไปร่วมงานกับน้องชาย จากนั้นก็มีความพยายาม ไม่ให้ร่วมกิจกรรมพรรค และได้ฝากคนมาบอก จะไม่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง เลยเป็นเหตุให้ตัดสินใจ จะไม่ร่วมงานกับทางพรรคเพื่อไทยอีกต่อไป ผมก็ขาดกันทันที ตัดสินใจง่าย”

“ทั้งที่ในพรรคเพื่อไทยก็มีคนอีกหลายนามสกุลที่เหมือนกัน และอยู่ต่างพรรคกันยังเคยทำงานกันได้ เช่น ก่อนหน้านี้มี สุรนันทน์ เวชชาชีวะ กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปัจจุบันมี ดนุพร ปุณณกันต์ กับ พุทธิพงศ์ ปุณณกันต์ เขาก็อยู่ต่างพรรคได้ สะท้อนได้ถึงหลายแง่มุมทางความคิด”

จักรพรรดิขอย้อนถามกลับว่า “บอกว่า ผมเป็นงูเห่า…แล้วไงล่ะ คุณไม่พูดถึงชาวนาบ้างหรือ นิทานอีสป มี 2 ตัวละคร มีชาวนา กับงูเห่า ถ้าเปรียบผมเหมือนงูเห่า ผู้บริหารพรรคเพื่อไทยเป็นชาวนา ซึ่งทำนาบนที่ดินเจ้าของพรรค นาผืนนี้ก็คือพรรคเพื่อไทย ผู้บริหารก็คือชาวนา แต่กลับมารังแกงู ไม่ใช่ดูแล ให้ความอบอุ่นนะ จะกินงู ! ต้องพูดถึงชาวนาด้วย ไม่ใช่เบลมแต่งูเห่าอย่างเดียว”

จับตาพฤติกรรม ส.ส.

อีกด้านหนึ่ง “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครของพรรค ได้ให้ข้อมูลอีกมุมว่า แนวทางคัดเลือกผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย เรามีแนวทางกระบวนการที่ชัด 1.มีกรรมการโซนทั่วประเทศ 21 โซน กรรมการโซนจะเป็นแมวมองเบื้องต้นพร้อมทั้งให้ความเห็น จากนั้นเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย

2.เรื่องคน พรรคจะให้ ส.ส.ปัจจุบัน ลงต่อเป็น priority แรก เว้นแต่ ส.ส.นั้นไม่เป็นที่ยอมรับ มีปัญหาสุขภาพ มีปัญหาด้านพื้นที่ มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ไม่มาประชุม มาประชุมแล้วรับเงินจากพรรคอื่น จะถูกขึ้นบัญชีว่าจะส่งเป็นผู้สมัครหรือไม่

ซึ่งเราติดตามดูพฤติกรรมแล้วเรียกมาคุย บางคนถูกภาคทัณฑ์ว่าจะมีการแก้ไขหรือไม่อย่างไร ถ้ายังมีพฤติกรรมไม่เปลี่ยนแปลง กรรมการวินัยของพรรคมีวิธีปฏิบัติของพรรคอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อปฏิบัติสำหรับการคัดเลือก ส.ส. ถ้ามีพฤติการณ์ พฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่กลับตัวกลับใจ พรรคจะต้องสรรหาผู้สมัครสำรองเอาไว้

เผื่อจะต้องหาคนทดแทน หรือยุบสภา จะย้ายออกโดยไม่บอกไม่กล่าว พรรคจะได้มีตัวสำรอง ซึ่งการหาตัวผู้สมัคร มาจากวิธีการหลากหลาย เช่น จากการสรรหาจากกรรมการโซน หรือมาสมัครด้วยตนเอง หรือมีประชาชนแนะนำมา เมื่อแสดงเจตจำนงกับพรรคเพื่อไทยแล้ว ก็รับเป็นสมาชิก แต่ยังไม่เป็นผู้สมัคร แต่พรรคจะดูศักยภาพการทำงาน

เช่น ขึ้นป้ายสวัสดีปีใหม่ ขึ้นป้ายครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งเขตที่มี ส.ส.ลงชัดเจนแล้ว พรรคจะไม่อนุญาตให้ไปทำ เว้นแต่เขตที่ไม่มีความชัดเจนเรื่องตัวผู้สมัครเท่านั้น ดังนั้น เขตที่ยังไม่ชัดเจน แต่มีคนต้องการลงสมัครเลือกตั้งเยอะ พรรคก็จะให้ไปทำงาน และใช้ผลการสำรวจความนิยมจากประชาชนว่าชอบใคร

“เรื่องนี้เราบอกเขาอยู่แล้วว่า ต้องไปทำงานนะ เช่น หาสมาชิกครอบครัวเพื่อไทย ถ้าผลงานเข้าตา ประชาชนยอมรับ พรรคก็เลือกคุณ ต้องเลือกคนที่ดีที่สุด” นพ.ชลน่านกล่าว

“ส่วน ส.ส.ที่บ่นว่า พรรคไม่ให้ความสำคัญ หรือพรรคส่งผู้สมัครแข่งกับเขา ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเขาเป็นหลัก ซึ่งมีไม่กี่คนที่พฤติกรรมพฤติการณ์แปรปรวน เราต้องเตรียมเรื่องนี้”

คนใหม่+กระแสพรรค จะสู้ ส.ส.เก่า เจ้าของพื้นที่ได้หรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ขึ้นกับพื้นที่ และ ส.ส.ท่านนั้น ซึ่งบางคน พรรคไปสำรวจแล้วว่าชาวบ้านไม่เอา ชาวบ้านขอร้องให้เปลี่ยนตัว พรรคก็คิดหนัก หรือรักพรรคมากกว่ารักคน แต่พรรคก็ต้องใช้โพลที่เชื่อถือได้มาวัด ไม่ใช่ใช้ความเห็นของคน-สองคน มาวัด

“ส.ส.ที่เป็นอยู่แล้ว ยังยึดมั่นกับพรรคไม่แปรปรวน ไม่รับเงินรับทองกับพรรคอื่นเราไม่ค่อยมีประเด็นกับเขาหรอก แต่คนที่แปรปรวนมีอยู่ประมาณ 5-6 คน จาก 132 คน ไม่เยอะ”

พี่-น้องต้องอยู่พรรคเดียวกัน

ส่วนเรื่องความเป็น พี่-น้อง เครือญาติ อยู่ต่างพรรคแล้วถูกขึ้นบัญชีดำว่าจะย้ายพรรค นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นข้อพึงระวังที่คณะกรรมการพิจารณาคิดหนัก ถ้าญาติ พี่น้อง พ่อแม่ อยู่คนละพรรค โดยเฉพาะพรรคสายอีสาน แล้วไปอยู่กับพรรคที่มีความผูกพันใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย ก็จะทำให้เกิดความสับสน เพราะมีคนไปอ้างเป็นพรรคพี่-พรรคน้อง ทำให้เกิดปัญหามาก

“ดังนั้นเราต้องชัดเจนว่าไม่ใช่พรรคเดียวกัน ไม่ใช่พรรคพี่ พรรคน้อง จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเด็ดขาดออกไปว่า ถ้าจะอยู่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน พี่จะอยู่อีกพรรคหนึ่ง น้องจะอยู่อีกพรรคหนึ่งไม่ได้ เพราะพื้นที่เกิดความสับสน และกลไกการหาคะแนนเขามักจะแอบอ้างพรรคพี่ พรรคน้อง ทำให้เกิดความเสียหาย เราจึงป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แอบอ้างเยอะ เพราะกระแสพรรคเพื่อไทยดี”

“พี่พรรคหนึ่ง พ่ออีกพรรคหนึ่ง เราจำเป็นต้องตัดจริง ๆ ไม่มาอยู่ด้วยกันก็ไปทั้งหมด สู้ก็ต้องสู้กัน บางทีเราสงสารเขามากนะด้วยเงื่อนไขนี้ เขาเป็นพี่เป็นน้องกันก็จริง การทำงานไม่เกี่ยวข้องกัน อยู่คนละพื้นที่ แต่มันทำให้ถูกแอบอ้างได้ แม้ ส.ส.ไม่แอบอ้าง แต่กลไกรอบข้างไปแอบอ้าง เราก็จำเป็น”

“เพื่อไทย” เปิดศึกชิงพื้นที่ ส.ส.ในพรรคอย่างดุเดือด จึงยังไม่พร้อมเลือกตั้งในเวลาอันใกล้นี้ แม้หน้าฉากจะบอกว่า พร้อมสุด ๆ ก็ตาม