หนี้สาธารณะไทยเสี่ยงวิกฤตการคลังหรือไม่ ? นฤมลตอบข้อสงสัย

นฤมล ภิญโญสินวัฒน์
นฤมล ภิญโญสินวัฒน์

“นฤมล” กก.บห.และหัวหน้าทีมนโยบายพลังประชารัฐ ตอบข้อสงสัย หนี้สาธารณะไทย เสี่ยง วิกฤตการคลัง ซ้ำรอย สปป.ลาว จริงหรือไม่ ชี้เร่งกระตุ้นท่องเที่ยว ปิดช่องขาดดุลแฝด เลิกกู้เงิน สวนดอกเบี้ยขาขึ้น 

วันที่ 6 กรกฎาคม 2565 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ กรรมการบริหาร (กก.บห.) และหัวหน้าทีมนโยบายพลังประชารัฐ (พปชร.) ระบุว่า หนี้สาธารณะ = ภาระของทุกคน

หนี้สาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัว ความจริงเป็นภาระที่ทุกคนต้องชดใช้ในที่สุด ไม่ว่าคนรุ่นเราหรือรุ่นถัด ๆ ไป จึงเป็นเรื่องที่ควรรู้จักและเข้าใจ

เมื่อรัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย จึงจําเป็นต้องกู้เงินมาใช้จ่าย รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ทั้งที่พัฒนาแล้ว และกําลังพัฒนาต่างก็มีหนี้สาธารณะอยู่ในจํานวนแตกต่างกันไป

ตอนนี้หลายฝ่ายกังวลเรื่องตัวเลขหนี้สาธารณะว่าไทยจะเกิด “วิกฤตการคลัง” อย่างลาวไหม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วง แต่ต้องบอกว่าแตกต่างกันหลายปัจจัย

1.หนี้สาธารณะของลาวส่วนใหญ่เป็นหนี้ต่างประเทศ หนี้สาธารณะของลาวอยู่ที่ 72% ของ GDP ส่วนใหญ่เป็นหนี้ต่างประเทศ ซึ่งมีจีนเป็นเจ้าหนี้ถึง 47% ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด ส่วนใหญ่กู้มาเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น เขื่อน โรงไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง

ส่วนหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ 60.87% ของ GDP และส่วนใหญ่เป็นหนี้ในประเทศ เป็นหนี้ต่างประเทศเพียง 174,666.23 ล้านบาท นับเป็น 1.96% ของหนี้สาธารณะทั้งหมดเท่านั้น ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินของต่างชาติมากนัก

2.ลาวมีเงินสำรองระหว่างประเทศน้อยมาก เงินสำรองระหว่างประเทศ คือเงินตราและสินทรัพย์สกุลต่างประเทศที่ถือครองโดยธนาคารกลางไว้เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านต่างประเทศในกรณีเกิดเงินทุนไหลออกจำนวนมาก หรือตลาดเงินขาดสภาพคล่องเงินตราต่างประเทศเฉียบพลัน เงินสำรองระหว่างประเทศที่เพียงพอจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศและนักลงทุน

ลาวมีเงินสำรองระหว่างประเทศเพียง 1,262.51 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น แต่มีหนี้ต่างประเทศที่ครบกำหนดชำระร่วม 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศเมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 สูงถึง 260,002.87 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 8,889,237.96 ล้านบาท มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นถึง 4.4 เท่า สะท้อนถึงสถานะด้านต่างประเทศของไทยที่แข็งแกร่ง

3.ขาดดุลแฝด (twin deficits) ภาวะขาดดุลแฝด คือ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (รายได้น้อยกว่ารายจ่ายจากภาคเศรษฐกิจจริงของประเทศ) และขาดดุลการคลัง (รัฐบาลมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย) พร้อมกัน

ลาวประสบภาวะขาดดุลแฝดมานาน เศรษฐกิจลาวมีรายจ่ายจากการนำเข้ามากกว่ารายได้จากการส่งออก เมื่อสหรัฐขึ้นดอกเบี้ย เงินดอลลาร์สหรัฐจึงแข็งค่า และเงินกีบจึงอ่อนค่าลง ยิ่งทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงมากขึ้น และค่าเงินกีบที่อ่อนลงยังซ้ำเติมหนี้สาธารณะที่ส่วนใหญ่เป็นหนี้ต่างประเทศ จึงกลายเป็นภาระหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย

หันมาดูไทยเรา ณ ปัจจุบันใช้นโยบายขาดดุลงบประมาณ ใน พ.ร.บ.งบประมาณ 2566 กำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 695,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.88% ของ GDP จึงถือว่าขาดดุลการคลัง

ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเดือนพฤษภาคม 2565 ขาดดุลเท่ากับ 127,874 ล้านบาท จึงเรียกว่ามีภาวะขาดดุลแฝดเช่นกัน เมื่อเจาะดูดุลบัญชีเดินสะพัด จะพบว่าเดือนพฤษภาคม 2565 ไทยยังเกินดุลการค้าเท่ากับ 68,320 ล้านบาท คือ มูลค่าจากการส่งออกสินค้ายังมากกว่ามูลค่าจากการนำเข้าสินค้า แต่ขาดดุลบริการราว 196,194 ล้านบาท ซึ่งหลัก ๆ เป็นการขาดดุลจากรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น้อยลง เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19

รายงานของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ขยายตัวอยู่ในกรอบ 2.5-3.5% โดยระบุดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มขาดดุล 7,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 266,000 ล้านบาท คิดเป็น 1.5% ของ GDP นั่นหมายความว่า ภาพรวมทั้งปี 2565 ไทยจะประสบภาวะขาดดุลแฝด ที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด ปล่อยให้อยู่ในภาวะขาดดุลแฝดนานไปไม่ได้

ทางออกจากภาวะขาดดุลแฝด ต้องอาศัยนโยบายทางเศรษฐกิจที่จะช่วยลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ที่เห็นแล้วว่าเกิดจากการขาดดุลบริการ จึงต้องเร่งส่งเสริมการภาคการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในขณะเดียวกัน นโยบายทางการคลังจากนี้ไปต้องรัดกุม หลีกเลี่ยงการกู้เงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.งบประมาณฯ ยิ่งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ต้องตั้งงบประมาณรองรับในอนาคตก็สูงตาม จึงควรพิจารณาทางเลือกแหล่งเงินทุนอื่นเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น การร่วมทุนกับภาคเอกชน หรือการระดมทุนจากตลาดทุนด้วยกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน