8 ปี หนี้สาธารณะเฉียด 10 ล้านล้าน ประยุทธ์ สมานแผลเศรษฐกิจ หรือสร้างแผลเป็น?

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

8 ปี หนี้สาธารณะเฉียด 10 ล้านล้าน “ประยุทธ์” สมานแผลเศรษฐกิจ หรือสร้างแผลเป็น?

วันที่ 2 มิถุนายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายใต้การเข้ามาบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 หนี้สาธารณะ อยู่ที่ 42.50% ต่อจีดีพี มูลค่า 5.53 ล้านล้านบาท ขณะที่ปัจจุบัน ณ 31 มีนาคม 2565 หนี้สาธารณะ อยู่ที่ 60.58% ต่อจีดีพี มูลค่ากว่า 9.95 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นมากว่า 4.42 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” พยายามหาลู่ทางใช้เงิน และผ่อนปรนขีดจำกัดวินัยการคลังหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่จัดทำงบประมาณกลางปีเพิ่ม ในปีงบประมาณ 2559 วงเงิน 5.6 หมื่นล้านบาท ต่อมาปีงบประมาณ 2560 ทำงบประมาณกลางปีเพิ่มอีก 1.9 แสนล้านบาท และในปีงบประมาณ 2561 ก็ทำงบกลางปีเพิ่ม 1.5 แสนล้านบาท

ต่อมาในปี 2563 เกิดการระบาดของโควิด-19 รัฐบาลจึงมีการปรับลดงบคืนต้นเงินกู้ลง 35,303 ล้านบาทโอนเข้างบกลาง เพื่อแก้ไขปัญหาโควิด และยังกู้เพิ่มอีก 214,093 ล้านบาท รองรับรายจ่ายสูงกว่ารายได้ เพราะจัดเก็บรายได้ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย หลังโดนผลกระทบโควิด

นอกจากนี้ ได้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ประกาศใช้เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2563 เพื่อรับมือโควิด แบ่งเป็น 3 แผนงาน ได้แก่ แผนงานด้านสาธารณสุข แผนงานช่วยเหลือเยียวยาประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ และแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด

แต่ความรุนแรงของโรคระบาดยังไม่ทุเลาลง “พล.อ.ประยุทธ์” จึงเดินหน้าออก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติมอีก 5 แสนล้านบาท มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564

ทั้งนี้ การออก พ.ร.ก.กู้เงิน 2 ฉบับ วงเงินรวม 1.5 ล้านล้านบาท ส่งผลให้หนี้สาธารณะที่กำหนดไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี ใกล้ชนเพดาน ซึ่ง ณ เดือน ก.ค. 64 มียอดหนี้สาธารณะกว่า 8,909,063 ล้านบาท คิดเป็น 55.59% ต่อจีดีพี เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ที่มี “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นประธาน จึงเห็นชอบให้ขยายเพดานการก่อหนี้สาธารณะ เพิ่มเป็นไม่เกิน 70% ของจีดีพี

“การขยายเพดานหนี้เป็นการเพิ่มพื้นที่การคลังให้รัฐกู้เงินได้อีก 1.2 ล้านล้านบาท รองรับ พ.ร.ก.กู้เงินทั้ง 2 ฉบับ รวมทั้งรองรับการกู้เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณอีก 7 แสนล้านบาท ในปีงบประมาณ 2565”

และนอกจากดูแลผลกระทบโควิด ระหว่างทางรัฐบาลต้องดูแลเกษตรกร ผ่านโครงการประกันรายได้ข้าว ซึ่งเดินทางมาแล้วกว่า 3 ปี โดยปีการผลิต 64/65 ใช้งบประมาณกว่า 1.7 แสนล้านบาท ขณะที่งบที่นำมาใช้ จาก พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 28 มีวงเงินเหลือใช้ได้เพียง 5,360 ล้านบาท

“พล.อ.ประยุทธ์” จึงอนุมัติขยายเพดาน มาตรา 28 จากเดิมที่กำหนดว่า ต้องมียอดคงค้างทั้งหมดรวมกันไม่เกิน 30% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นไม่เกิน 35% ชั่วคราว 1 ปี ทำให้มีวงเงินในการก่อหนี้เพิ่มเติมได้อีก 1.55 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี ตอนนี้กรอบวงเงินที่ขยายออกไปชั่วคราวใกล้เต็มเพดานแล้ว รัฐอาจมีความจำเป็นที่จะต้องขยายเพดานอีก เพื่อสมานแผลดูแลเศรษฐกิจ

สำหรับ 8 ปี “พล.อ.ประยุทธ์” ปลดล็อกข้อจำกัดทางการเงินสารพัดแนวทาง เพื่อเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่บททดสอบคุ้มกันเศรษฐกิจยังไม่จบ โควิดยังไม่หายดี ก็มีความท้าทายใหม่เพิ่มเข้ามา จากความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครน ส่งผลต่อเงินเฟ้อ ราคาพลังงานพุ่ง

ล่าสุด ประเด็นการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อพยุงราคาน้ำมัน ก็กำลังเป็นอีกหนึ่งปมที่รัฐบาล ต้องหาทางปลดล็อกข้อจำกัด เพราะแม้ว่าคณะรัฐมนตรีจะขยายกรอบวงเงินกู้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จากกำหนดไว้ 2 หมื่นล้านบาท เป็น 3 หมื่นล้านบาทแล้ว แต่ยังมีปัญหาเรื่องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน

ต้องจับตาดูต่อไปว่า ที่สุดแล้ว หากกู้แบงก์ไม่ได้ “พล.อ.ประยุทธ์” จะปลดล็อกเงื่อนไขอะไรเพิ่มอีก เพื่อหาช่องหาเงินมาอุดหนุนราคาน้ำมันในวิกฤตครั้งนี้ เมื่อฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2565 พบว่าติดลบ 81,395 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 45,968 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 35,427 ล้านบาท

ทั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อหนี้สาธารณะ จนเป็นน่ากังวลว่า รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” จะรักษาบาดแผล หรือจะสร้างรอยแผลเป็นให้กับเศรษฐกิจไทย