ศูนย์ข้อมูลอสังหาส่ง 4 ข้อสังเกต ต่างชาติซื้อที่ดิน ชี้อย่าใช้แนวทางโยนหินถามทาง

ราคาที่ดิน

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ส่ง 4 ข้อสังเกต “ต่างชาติซื้อที่ดิน” ชี้อย่าใช้แนวทางโยนหินถามทาง

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 ความเห็นของ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. หรือ REIC ต่อนโยบายเรื่อง “ครม.อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยถอนร่างกฎกระทรวง” มีรายละเอียด ดังนี้

การที่ ครม.อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยถอนร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าวนั้น รัฐบาลได้รับทราบถึงกระแสต่อต้านจากประชาชนส่วนหนึ่งที่ยังมีความกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และยังให้น้ำหนักกับมุมของผลกระทบมากกว่าประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์

ดังนั้น การที่กระทรวงมหาดไทยจะนำเรื่องดังกล่าวกลับไปรับฟังความคิดและวิเคราะห์ผลกระทบ และศึกษาเพิ่มเติมให้มีความรอบคอบ ถี่ถ้วน และครอบคลุมผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน รวมไปถึงการฟังความคิดเห็นจากประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่ดี

สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อสังเกตจากกรณีที่เกิดขึ้นนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า การที่คนจำนวนหนึ่งในสังคมยังไม่ให้การสนับสนุนต่อนโยบายนี้ น่าจะเป็นเหตุผลหลัก ๆ 4 ประการ

ประการแรกคือ คนไทยจำนวนไม่น้อยยังขาดความมั่นคงและยังไม่เห็นโอกาสที่จะมีบ้านเป็นของตนเอง จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยเกิดความกังวลว่า หากเปิดโอกาสให้คนต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินและบ้านได้ ก็จะยิ่งทำให้พวกเขาซื้อบ้านได้ยากขึ้น เพราะราคาจะแพงขึ้น

ซึ่งอาจทำให้เกิดความน้อยใจเหมือนรัฐบาลละเลยไม่ใส่ใจพวกเขาไป แต่ไปเอาใจคนต่างชาติที่มีเงิน

ประการที่สองคือ การออกข้อกำหนดหลักเกณฑ์ในกฎกระทรวงที่เสนอขออนุมัติ อาจยังไม่ละเอียดไม่รัดกุมเพียงพอที่จะตอบคำถามสังคม จึงทำให้เกิดข้อสงสัย ข้อกังวล และข้อโจมตีจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล

เช่น การเข้ามาซื้อที่ดินแล้วไม่ปลูกสร้างบ้าน, การนำเงินมาลงทุนแล้วถอนเงินลงทุนก่อนเวลา จะจัดการบ้านและที่ดินที่ซื้อไว้อย่างไร, เป็นการซื้อโดยไม่ต้องกำหนดระดับราคาเลยหรือไม่, มีการจัดเก็บค่าภาษีและค่าธรรมเนียมพิเศษหรือไม่ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น

รัฐบาลจะต้องมีแนวทางในการควบคุมหรือจัดการที่ชัดเจน และตอบข้อสงสัยกับสังคมได้ตั้งแต่วันแรกที่จะเสนอนโยบายนี้ออกมา อย่าใช้แนวทางแบบโยนหินถามทาง เพราะเรื่องนี้ sensitive มากต่อสังคมไทย

ประการที่สามคือ การนำเสนอนโยบายนี้ยังไม่ได้มีการประเมินความคุ้มค่า และผลได้ผลเสีย ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างชัดเจน

เช่น ผลกระทบว่าจะเกิดผลบวกกับทางเศรษฐกิจเป็นเม็ดเงินเท่าไร, ช่วยให้เกิดการจ้างงานอย่างไร, ราคาที่ดินและที่อยู่อาศัยจะแพงขึ้นเพียงใด และเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชนแล้วจะเป็นอย่างไร

ประการสุดท้ายคือ นโยบายออกมาในช่วงจังหวะเวลาที่ใกล้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จึงทำให้นโยบายนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่จะใช้ช่วงชิงคะแนนเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง

ประกอบกับมีเหตุการณ์และข่าวเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจสีเทาด้วย จึงทำให้เกิดกระแสต่อต้านมากยิ่งขึ้น

อย่างหนึ่งที่สังคมต้องไม่ลืมคือ แม้ว่าร่างกฎกระทรวงฉบับนี้จะถูกถอนออกไปแล้ว แต่ชาวต่างชาติก็ยังซื้อที่ดินได้ตามกฎกระทรวง พ.ศ. 2545 ที่ประกาศใช้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ ชาวต่างชาติยังสามารถเข้ามาจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล และถือหุ้นในนามคนต่างชาติไม่เกิน 49% (และในนามคนไทยอีก 51%) ซึ่งถือเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยเพื่อซื้อที่ดินและที่อยู่อาศัยได้ทั่วประเทศโดยไม่ถูกกฎหมาย และใช้เงินลงทุนน้อยกว่า 40 ล้านบาทได้อีกทางหนึ่งด้วย

ดังนั้น หากรัฐบาลเห็นว่าเป็นนโยบายที่มีประโยชน์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และยังเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะช่วยดึงดูดชาวต่างชาติที่ได้รับการคัดสรรให้มาอยู่และร่วมพัฒนาประเทศไทยในอนาคต

รัฐบาลจะต้องแสดงให้เห็นเป้าหมายและผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบ และสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนว่าจะเกิดผลดีมากกว่าผลเสียทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างไร

รวมถึงทำให้ให้ประชาชนมั่นใจว่า พวกเขาสามารถซื้อบ้านและที่ดินในแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาได้เมื่อพวกเขาพร้อม