AWC ชี้ท่องเที่ยวฟื้น ทุ่มปั้น “เอเชียทีค“ สู่เดสติเนชั่นโลก

เอเชียทีค

ด้วยข้อจำกัดของการเดินทางในด้านที่นั่งโดยสารของสายบินในขณะนี้ยังคงส่งผลให้ “ราคาตั๋วโดยสาร” ของสายการบินในทุกภูมิภาคทั่วโลกทรงตัวอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่อง

จาก “ตัวแปร” ดังกล่าวนี้ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยปรับฐานสู่กลุ่มนักท่องเที่ยว “คุณภาพ” มีกำลังใช้จ่ายทั้งในด้านที่พัก อาหาร การท่องเที่ยว ฯลฯ ในระดับที่เป็น “ลักเซอรี่”

ราคาห้องพักพุ่งทะลุก่อนโควิด

“วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ให้ข้อมูลว่า AWCเป็นผู้ประกอบการที่ลงทุนในธุรกิจโรงแรม-บริการ รีเทล และอาคารสำนักงานรายใหญ่ของประเทศ โดยปัจจุบันมีธุรกิจโรงแรม-บริการ ในเครือทั้งหมด 20 แห่ง คิดเป็นห้องพักราว 5,400 ห้องพัก

จากแนวโน้มของนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ทำให้ธุรกิจโรงแรมในกลุ่ม AWC ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลักเซอรี่โฮเทล หรือโรงแรมในระดับ 5-6 ดาว ที่บริหารงานโดยพันธมิตรเชนโรงแรมระดับโลกทั้งหมดได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่องนับตั้งแต่ไทยทยอยเปิดประเทศเมื่อปี 2565

 

วัลลภา ไตรโสรัส
วัลลภา ไตรโสรัส

และสามารถขยับราคาห้องพัก (room rate) ได้สูงขึ้น โดยปัจจุบันโรงแรมในเครือหลายแห่งปรับขึ้นราคาห้องพักได้สูงกว่าในช่วงก่อนวิกฤตโควิดไปเรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าตลอดทั้งปีน่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 20-30% เช่นเดียวกับในส่วนของอัตราการเข้าพักที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน

คาด มีนาคม-เมษายน บุ๊กกิ้งทะลัก

สำหรับภาพรวมหลังจากที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ทั้งกลุ่มที่เดินทางด้วยตัวเองและกรุ๊ปทัวร์แล้วนั้น “วัลลภา” บอกว่า ธุรกิจโรงแรมจะเห็นภาพความชัดเจนก่อน เนื่องจากนักท่องเที่ยวต้องทำบุ๊กกิ้งห้องพักล่วงหน้า

โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นี้ยังเห็นภาพการบุ๊กกิ้งห้องพักของนักท่องเที่ยวตลาดจีนไม่ชัดเจนอย่างที่อยากจะเห็นนัก แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมและเมษายนเป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในโครงการ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนเจริญกรุงในจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

และระบุว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มที่เดินทางเข้ามาใช้บริการขณะนี้ส่วนใหญ่ยังคงเป็นนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตัวเอง ไม่ใช่กลุ่มกรุ๊ปทัวร์ โดยคาดว่ากลุ่มกรุ๊ปทัวร์น่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป

โดยขณะนี้กลุ่มผู้ประกอบการนำเที่ยวอยู่ระหว่างอัพเดตข้อมูลของสินค้าและบริการที่จะนำไปบรรจุในโปรแกรมทัวร์ ซึ่ง AWC ก็เชื่อมั่นว่า “เอเชียทีค” จะเป็นเดสติเนชั่นที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมาเยือนแน่นอน

“ไทย” ท็อปเดสติเนชั่นโลก

“วัลลภา” ยังให้ข้อมูลอีกว่า นับเป็นความโดดเด่นและความโชคดีของประเทศไทยที่ติดอยู่ในท็อปเดสติเนชั่นด้านการท่องเที่ยวระดับโลก ทำให้การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวกลับมาได้เร็ว ที่สำคัญนักท่องเที่ยวที่กลับมาก็เป็นกลุ่มที่พร้อมใช้จ่ายมากกว่าในอดีต

ดังนั้นจึงเชื่อว่าหากเราสามารถพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์ในด้านการสร้างประสบการณ์ที่ดีได้มากขึ้นก็จะยิ่งทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติพร้อมที่จะใช้จ่ายมากขึ้นและพร้อมที่จะกลับมาเที่ยวซ้ำอีก

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ต้องพยายามมองหาทางเลือกที่ดีขึ้นสำหรับเขาเช่นกัน ซึ่งประเด็นนี้ในด้านของซัพพลายก็จำเป็นต้องพัฒนาและสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศสามารถแข่งขันได้เช่นกัน

ทุ่ม 800 ล้าน ปั้นเอเชียทีครับนักท่องเที่ยว

และเพื่อสนับสนุนความแข็งแกร่งของประเทศในด้านการท่องเที่ยว ล่าสุดกลุ่ม AWC ได้ลงทุนเพิ่มอีก 800 ล้านบาท พัฒนาโครงการ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” สู่รีเทล-เทนเมนต์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ใหญ่ที่สุด และรวมทุกประสบการณ์ไว้รองรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงคืน ทั้งด้านอาหาร ความบันเทิง แหล่งแฮงเอาต์สุดคูล ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ALL DAY EVERYDAY HAPPINESS”

เรียกว่า ปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ทุกกลุ่มลูกค้า ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกเจเนอเรชั่น

และทำให้การท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ และประเทศไทยให้กลับมาครึกครื้น หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศหลังจากเปิดบริการมาแล้ว 10 ปี

เอเชียทีค

โดยคอนเซ็ปต์ใหม่ของ “เอเชียทีค” นี้จะเน้นสร้าง 3 ประสบการณ์สำคัญ ได้แก่ 1.FESTIVAL VILLAGE โซนที่มีไฮไลต์ที่เป็นแลนด์มาร์กและงานแสดงระดับสากลที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ อาทิ Asiatique Sky ชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยความสูง 60 เมตร Merry-Go-Round ม้าหมุนแสนสนุก Mystery Mansion บ้านผีสิง การแสดงที่คาลิปโซ่ ฯลฯ

ดึง “ดิสนีย์” ปลุกความคึกคัก

และล่าสุดคือ DISNEY100 VILLAGE ซึ่งเป็นงานแสดงพิเศษ หรือ Special Pop-Up Event เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ดิสนีย์ เพื่อให้ทุกคนและแฟนคลับดิสนีย์ในประเทศไทยชื่นชม ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคมถึง 31 กรกฎาคม 2566

โดยจะมีโซนงานแสดงหลากหลายธีมให้ทุกคนได้สัมผัสกับเรื่องราวเหนือกาลเวลากว่า 100 ปี และตัวละครอันโด่งดังจากทั้ง Disney, Pixar, Marvel และ Star Wars โดยมีแผนจะเปิดขายบัตรเข้าชมตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 นี้เป็นต้นไป

2. LARGEST FOOD AND BEVERAGE SELECTION โซนแหล่งรวมร้านอาหารอร่อยจากทั่วกรุงเทพฯ ไปจนถึงอาหารสตรีตฟู้ดจากทั่วทุกภาคมารวมกัน รวมถึงมี Big C ห้างค้าปลีกที่ครบครันด้วยสินค้ามากมายมาร่วมสร้างสีสันในพื้นที่ด้วย

และ 3.LIFESTYLE MARKET โซนแหล่งไลฟ์สไตล์สำหรับทุกคนในครอบครัว และกิจกรรมจะผันเปลี่ยนไปตามเทศกาลและฤดูกาลต่าง ๆ ทั้งงานดนตรี ช็อปปิ้ง ศิลปะ รวมถึงสุขภาพและอาหารตลอดปี

หนุน กทม.แข่งขันระดับโลก

ไม่เพียงเท่านี้กลุ่ม AWC ยังมีแผนต่อยอดโครงการ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” ในทศวรรษที่ 2 อีกราว 2-3 หมื่นล้านบาท เพื่อให้เอเชียทีคเป็น “แลนด์มาร์ก” สำคัญที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวของกรุงเทพฯและประเทศไทย โดยในแผนประกอบด้วยโครงการพัฒนาส่วนรีเทลและตึกสูง บนที่ดินติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา (บริเวณด้านข้างเอเชียทีคปัจจุบัน) เป็นโครงการ mixed development ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยโรงแรมและเรสซิเดนซ์แบรนด์ระดับโลก ศูนย์การค้า พื้นที่สำนักงาน และที่พักอาศัย

เช่น แบรนด์โรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ, ริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ เรสซิเดนซ์ (Branded Residence), แมริออท มาร์คีส์, ออโตกราฟคอลเล็กชั่น รวมทั้งมีพื้นที่รีเทลและอาคารสำนักงานคอนเซ็ปต์ใหม่

รวมถึงพัฒนาที่ดินฝั่งตรงข้ามโครงการเอเชียทีค (ถนนเจริญกรุง) ประมาณ 28 ไร่ เป็นศูนย์สุขภาพ หรือ integrative wellness ครบวงจร

ทั้งหมดนี้คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในช่วงทศวรรษที่ 2 ของ “เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์” ซึ่งจะทำให้แลนด์มาร์คดังกล่าวเป็น “เดสติเนชั่น” สนับสนุนประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก