
ปี 2566 รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วางนโยบายในการ “พลิกโฉมประเทศไทย” เพื่อให้ประเทศไทยได้เข้าสู่วิถีใหม่ในทุกมิติ พร้อมเห็นชอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินการส่งเสริมการท่องเที่ยวในชื่อ ปีท่องเที่ยวไทย 2566 Visit Thailand Year 2023 : Amazing New Chapters
ทั้งนี้ เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ นำรายได้เข้าประเทศ และประกาศความพร้อมของประเทศไทยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ขณะที่ “ยุทธศักดิ์ สุภสร” อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) บอกว่า ในปี 2566 นี้ ททท.ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในภาคการท่องเที่ยว ในด้านการกระตุ้นดีมานด์ (Drive Demand) โดยเน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพมากกว่าเน้นปริมาณ และให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ (Sustainable & Responsible Tourism) รวมถึงกระตุ้นตลาดในประเทศต่อเนื่อง

ควบคู่กับให้ความสำคัญกับการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Shape Supply) ด้วยการมุ่งเน้นการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experience-based Tourism) ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว โดยใช้ Soft Power (5 F : Food Festival Film Fight Fashion)
เรียกว่า เป็นปีที่เป็นจุดเริ่มต้นและก้าวไปสู่คุณภาพและความยั่งยืนมากขึ้น (High Value and Sustainable Tourism) เพื่อให้ “การท่องเที่ยว” สามารถขับเคลื่อนทั้ง GDP และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ประเทศและคนไทยต่อไป
พร้อมตั้งเป้าหมายสร้างรายได้จากภาคการท่องเที่ยวสำหรับปี 2566 รวมที่ 2.4 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 25-28 ล้านคน
ถือเป็นปีแห่งการขับเคลื่อนและพลิกฟื้นของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในหลายมิติ โดยเฉพาะการมุ่งสู่เป้าหมายนักท่องเที่ยวคุณภาพ (High Value & Sustainable) โดย “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สรุปเหตุการณ์สำคัญระหว่างปีมานำเสนอ ดังนี้
“จีน” เปิดประเทศ 8 มกราคม 66
เป็นข่าวดีและเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศเปิดประเทศ โดยยกเลิกให้ผู้เดินทางเข้าประเทศต้องกักตัว เหลือเพียงแค่ทำการตรวจเชื้อแบบ PCR ก่อนออกเดินทางจากประเทศต้นทางเป็นเวลา 48 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 หลังจากปิดประเทศมา 3 ปีเต็ม ๆ (ตั้งแต่ปี 2563)
โดยอนุญาตให้คนจีนขอวีซ่าเดินทางออกต่างประเทศได้ทั้งหมด 9 ประเภทเท่านั้น ได้แก่ วีซ่าเยี่ยมญาติ (Q) วีซ่าธุรกิจการค้า (M) วีซ่ากิจธุระ (F) วีซ่าทำงาน (Z) วีซ่าเข้าเยี่ยมชมการดูงานหรือการทำงานการเรียนต่อในประเทศจีน รวมถึงธุระส่วนตัว (S) วีซ่านักเรียน (X) วีซ่าลูกเรือ (C) วีซ่าขอผ่าน (G) และวีซ่าบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ (R)
สำหรับประเทศไทย รัฐมนตรี 3 กระทรวง ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารทั้ง 3 กระทรวง ได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยว (เดินทาง FIT) ไฟลต์บินแรกจากเมืองเซี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 9 มกราคม 2566


หลังจากนั้น กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ออกประกาศอนุญาตให้บริษัทนำเที่ยว บริษัท OTA จัดกรุ๊ปทัวร์ นำคนจีนเที่ยวต่างประเทศได้ โดยเริ่มต้นได้เฉพาะ 20 ประเทศตามประกาศ (รวมไทย) ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566
นับเป็นสัญญาณที่สร้างความหวังให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พร้อมคาดการณ์ว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยตลอดปีที่ประมาณ 5 ล้านคน
เปิด SAT1- ลงทุน “เชียงใหม่-ภูเก็ต” แห่ง 2
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้เปิดให้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Soft Opening) อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ไปเมื่อ 28 กันยายน 2566 ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปีต่อไป
โดยอาคาร SAT-1 มีพื้นที่ใช้สอย ภายในอาคาร 251,400 ตารางเมตร และพื้นที่ลานจอดอากาศยานรวมกว่า 260,000 ตารางเมตร มีหลุมจอดประชิดอาคารทั้งหมด 28 หลุมจอด สามารถจอดอากาศยานขนาด Code F เช่น A380 และ B747-7 ได้ 8 หลุมจอด และอากาศยานขนาด Code E เช่น B747 และ A340 ได้ 20 หลุมจอด มีสะพานเทียบอากาศยาน 64 สะพาน
นอกจากนี้ ยังมีแผนลงทุนสนามบินภูเก็ต แห่งที่ 2 (ท่าอากาศยานอันดามัน) และสนามบินเชียงใหม่ แห่งที่ 2 (ท่าอากาศยานล้านนา) โดย ทอท.ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาความเป็นไปได้ และความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการในเบื้องต้น เพื่อประกอบการนำเสนอคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ต่อไป
โดยสนามบินเชียงใหม่ แห่งที่ 2 ใช้วงเงินลงทุน 70,000 ล้านบาท ส่วนสนามบินภูเก็ต แห่งที่ 2 ใช้วงเงินลงทุน 80,000 ล้าน รวม 2 ท่าอากาศยานใหม่ ใช้วงเงินลงทุนรวมประมาณ 150,000 ล้านบาท

“วีซ่าฟรี” จีน-คาซัคฯ-ไต้หวัน-อินเดีย
เพื่อเป็นการเร่งกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องในช่วงไฮซีซั่นตามนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวแบบ Quick Win ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 มีมติยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) หรือวีซ่าฟรีเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางนักท่องเที่ยวสัญชาติจีนและคาซัคสถาน เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว (ไม่ต้องขอวีซ่า)
โดยเริ่มตั้งแต่ 25 กันยายน 2566-29 กุมภาพันธ์ 2567 รวมระยะเวลา 5 เดือน
ครอบคลุมการเดินทางช่วงหยุดยาวสำคัญของตลาดจีน 2 ช่วง ได้แก่ วันชาติจีน (1 ตุลาคม 2566) กับเทศกาลตรุษจีน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยให้สามารถเข้ามาท่องเที่ยวและพำนักในราชอาณาจักรไทยได้ไม่เกิน 30 วัน
ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน 2566) จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดเป้าหมายหลักของประเทศไทยยังเดินทางเข้ามาได้เพียงประมาณ 2 ล้านคน ห่างจากเป้าหมาย 4.3 ล้านคน ซึ่งหลังจากมีมาตรการวีซ่าฟรี ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าจะผลักดันให้ตลอดปี 2566 นี้มีนักท่องเที่ยวจีนที่ประมาณ 5-7 ล้านคน
ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถานเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดใหม่ และมีกลุ่มที่อยากเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการยกเว้นการตรวจลงตราเป็นการชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษจะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญด้วย
หลังจากนั้นเพียง 1 เดือน ที่ประชุม ครม. วันที่ 31 ตุลาคม 2566 ได้มีมติเห็นชอบยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง หรือวีซ่าฟรี เพิ่มเติมอีก 2 ประเทศ
ได้แก่ อินเดีย และไต้หวัน เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว โดยให้อยู่ในประเทศไทยได้ไม่เกิน 30 วัน เช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566-10 พฤษภาคม 2567 เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งเป็น 2 ตลาดที่มีศักยภาพ มีแนวโน้มดี และมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเห็นชอบยกเว้นการกรอกแบบ ตม.6 ณ ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2566-30 เมษายน 2567 ซึ่งตรงกับช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศมาเลเซีย
และขยายฟรีวีซ่ารัสเซียจาก 30 วัน เป็น 90 วัน ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง 30 เมษายน 2567 เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศที่หนาวมากในฤดูหนาวนิยมพำนักนาน

ชะลอเก็บ “ค่าเหยียบแผ่นดิน”
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ดำเนินการจัดเก็บ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” ตามที่คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) นำเสนอ ไปตั้งแต่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 โดยครั้งแรกกำหนดวันเริ่มจัดเก็บ 1 มิถุนายน 2566 จากนั้นได้เลื่อนเป็นเริ่ม 1 มกราคม 2567 นี้
แต่ในที่สุดแผนการจัดเก็บ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” หรือค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (TTF) จำนวน 300 บาทต่อครั้ง สำหรับการเดินทางทางอากาศ และ 150 บาทต่อครั้ง สำหรับการเดินทางผ่านทางทางบกและทางน้ำ ก็ยังไม่สามารถเดินหน้าจัดเก็บได้
“สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อ 21 ธันวาคม 2566 ว่า รัฐบาลจะชะลอการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวออกไปก่อน เนื่องจากปัจจุบันไทยอยู่ในช่วงที่ต้องการประชาสัมพันธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมาเยือน
โดยมองว่าแม้ว่าอัตราการจัดเก็บจะไม่ใช่จำนวนเงินที่มากนัก แต่อาจกระทบต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้

ทั้งนี้ จะใช้แนวทางขอจัดสรรงบฯกลางวงเงิน 50 ล้านบาท สำหรับนำมาดูแลนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยในกรณีประสบอุบัติเหตุแทน ซึ่งจะครอบคลุมกรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิต มีวงเงินจำนวน 1 ล้านบาทต่อราย และในกรณีบาดเจ็บมีวงเงินค่ารักษาพยาบาลตามจริง และไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย
โดยหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขให้ประสานงานกับโรงพยาบาลให้เบิกค่าใช้จ่ายกับภาครัฐโดยตรง นักท่องเที่ยวไม่ต้องสำรองจ่ายไปก่อน พร้อมย้ำว่า แนวทางดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรียบร้อยแล้ว
ทุนใหญ่รุกเปิดสายการบิน
การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวบวกกับความสามารถในการกลับมาทำธุรกิจของกลุ่มผู้ประกอบการสายการบินเดิมกลับมาได้ไม่เท่าเดิม บางรายลดขนาดองค์กรลง ทำให้กลุ่มทุนใหญ่หันมาลงทุนในธุรกิจสายการบิน
ประกอบด้วย บริษัท พี 80 แอร์ จำกัด ในเครือบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ของตระกูล “มหากิจศิริ” มีแผนลงทุนเปิดสายการบินใหม่ ภายใต้ชื่อ “พี 80 แอร์” หรือ P80 Air ใช้เครื่องบินแบบโบอิ้ง 737-800 จำนวน 186 ที่นั่ง วางตำแหน่งเป็นสายการบินราคาประหยัดที่ให้บริการเทียบเท่ากับสายการบินฟูลเซอร์วิส และใช้ท่าอากาศยานดอนเมือง
โดยจะทำการบินแบบประจำ (Schedule Flight) เส้นทางระหว่างประเทศไทย-จีนเท่านั้น

บริษัท เรียลลี เรียลลี คูล จำกัด ตัวแทนท่องเที่ยวออนไลน์ ของนายพาที สารสิน ที่เปิดตัวสายการบิน Really Cool Airline ให้บริการแบบฟูลเซอร์วิส และทำการบินระยะไกล หรือ Long-haul เท่านั้น เช่น ยุโรป อเมริกา ฯลฯ รวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฯลฯ
และบริษัท เอ็ม-แลนดาร์ช จำกัด บริษัทตัวแทนจำหน่ายเครื่องบิน Cessna ในประเทศไทย ที่เตรียมเปิดสายการบินใหม่ ภายใต้ชื่อ “แลนดาร์ช แอร์ไลน์” ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “อีซี่ แอร์ไลน์” ให้บริการในพื้นที่จังหวัดภาคใต้เป็นหลัก ใช้ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (สงขลา) เป็นศูนย์กลางการบิน เช่น หาดใหญ่-เบตง (ยะลา), หาดใหญ่-นราธิวาส หาดใหญ่-สุราษฎร์ธานี เป็นต้น

ทั้งนี้ 3 สายการบินดังกล่าวนี้มีแผนเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2567
ปิดฉากสายการบิน “ไทยสมายล์”
เป็นที่แน่นอนแล้วว่าสายการบิน “ไทยสมายล์” จะยุติบทบาทการเป็นสายการบิน พร้อมโอนฝูงบิน A320 จำนวน 20 ลำ ให้กับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทแม่ตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจควบรวมกิจการ และยกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการการเดินอากาศ (AOL) ของไทยสมายล์ ซึ่งจะส่งผลให้รหัสการบินภายใต้โค้ด WE สิ้นสุดลง
“ชาย เอี่ยมศิริ” ซีอีโอ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การปรับโครงสร้างด้วยการควบรวมสายการบินไทยสมายล์นั้นเป็นการดำเนินการเพื่อความคล่องตัวธุรกิจและการบริหารทางการเงิน โดยจะกลับมาให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศภายใต้รหัส TG อีกครั้ง
โดยในตารางบินฤดูหนาว 2566 (29 ตุลาคม 2566-30 มีนาคม 2567) การบินไทยได้กลับมาทำการบินเส้นทางบินภายในประเทศไป-กลับจากกรุงเทพฯ จำนวน 9 เส้นทาง ด้วยเครื่องบินแอร์บัส A320 ประกอบด้วย เชียงใหม่ ภูเก็ต อุดรธานี เชียงราย ขอนแก่น อุบลราชธานี กระบี่ หาดใหญ่ นราธิวาส โดย 7 เส้นทางหลังนี้จะเริ่มทำการบิน 1 มกราคม 2567
โดยบริษัทการบินไทยจะปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจการบินของและไทยสมายล์ โดยโอนพนักงาน ฝูงบินแอร์บัส A320 ของไทยสมายล์กลับสู่การบินไทยเสร็จในเดือนมกราคม 2567
บูสต์ “เมืองรอง” ปั๊ม “รายได้”
คาดการณ์กันว่าปี 2566 นี้ ประเทศไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 27-28 ล้านคน สร้างรายได้ที่ราว 1.2 ล้านล้านบาท และมีรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศอีกราว 8 แสนล้านบาท รวมทั้งหมดประมาณ 2 ล้านล้านบาท
สำหรับปี 2567 นี้ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน มีนโยบายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยเร่งกระตุ้นการเดินทาง การจับจ่ายในเมืองรองทั่วประเทศ และนำจุดเด่นของแต่ละพื้นที่มาดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้าง Landmark ใหม่ ๆ และเฟ้นหาผลิตภัณฑ์ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ ซึ่งหมายรวมถึงวัฒนธรรม อาหาร พร้อมหาจุดแข็ง Soft Power ของแต่ละพื้นที่
รวมถึงทำให้ประเทศไทยเที่ยวได้ทั้งปี เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ และมีความสม่ำเสมอของรายได้ของแรงงานในอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อทริปของนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น
“ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์” ผู้ว่าการ ททท. ย้ำว่า ททท.ได้เริ่มส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่ปี 2548 โดยคิกออฟจากโครงการ “12 เมืองต้องห้ามพลาด” พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนคอนเซ็ปต์การทำการตลาดให้สอดรับกับสถานการณ์
และในปี 2567 นี้ ยังคงดำเนินการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัดเหมือนเดิม โดยต่อยอดธีม “365 วันเมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน” และ “365 วันมหัศจรรย์เที่ยวเมืองรอง”