ยุทธชัย จรณะจิตต์ ฟันธง ! ธุรกิจโรงแรม (ต้อง) วิ่งสู้ฟัดอีก 3 ปี

ยุทธชัย จรณะจิตต์
สัมภาษณ์พิเศษ

นับตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2565 นี้เป็นต้นไป ประเทศไทยได้ปรับมาตรการเดินทางเข้าประเทศอีกครั้ง โดยยกเลิกการกักตัวทุกรูปแบบ ส่วนผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือฉีดวัคซีนไม่ครบตามข้อกำหนด เพียงแค่แนบเอกสารการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่ออกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทางโดยมาตรการดังกล่าวรวมถึงจุดผ่านด่านทางบกทุกจุดด้วย

ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรม มีความหวังและเตรียมพร้อมสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “ยุทธชัย จรณะจิตต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อิตัลไทย จำกัด และผู้บริหาร กลุ่มบริษัท ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งมีโรงแรมแบรนด์อมารี, โอโซ, ซามา, ซามา ฮับ รวมทั้งเป็นผู้ถือหุ้นโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ถึงมุมมองต่อธุรกิจโรงแรม รวมถึงประเมินทิศทางและแนวโน้มของธุรกิจโรงแรม ไว้ดังนี้

“ภูเก็ต-กทม.-พัทยา” ทยอยฟื้น

“ยุทธชัย” บอกว่า ธุรกิจโรงแรมโดยภาพรวมขณะนี้เริ่มทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง วอลุ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในภูเก็ต กรุงเทพฯ และพัทยา แต่ในส่วนของราคา (room rate) ยังทำได้เฉลี่ยประมาณ 50% ของราคาในปี 2562 (ก่อนโควิด) แต่คาดว่าธุรกิจจะสามารถขยับราคาขายได้ชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 นี้เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม ด้วยต้นทุนการบริหารจัดการ รวมถึงค่าบุคลากรที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความสามารถในการทำ “กำไร” ของผู้ประกอบการต่ำลงไปด้วย หากต้องการกระแสเงินสดเข้ามาหมุนเวียนก็ต้องยอมทำราคาให้ต่ำเพื่อกระตุ้นวอลุ่ม ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการส่วนใหญ่กำลังดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้มีกระแสเงินสดเข้ามา โดยบริหารให้กระชับที่สุดและใช้บุคลากรให้คุ้มค่าที่สุด

สำหรับกลุ่มออนิกซ์นั้น โรงแรมระดับ 4-5 ดาวภายใต้แบรนด์ “อมารี” กลับมาฟื้นตัวได้ก่อน โดยเดสติเนชั่นที่พลิกฟื้นได้เร็วที่สุดคือ อมารี ภูเก็ต โดยเฉพาะบนทำเลหาดป่าตอง เพราะเป็นหาดที่เป็นที่นิยมที่สุด และมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุด โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ประมาณ 60-70% ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป รัสเซีย ยูเครน ฯลฯ เช่นเดียวกับราคา (room rate) ที่ขยับได้ประมาณ 70-80%

ส่วนโรงแรมอมารี พัทยา ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ลูกค้ายังเป็นกลุ่มคนไทยเป็นหลัก (domestic market) แต่ตลาดคอร์ปอเรตเริ่มส่งสัญญาณว่าตลาดค่อย ๆ กลับมาบ้างแล้ว โดยปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ประมาณ 60-70%

“สมุย-หัวหิน” ซบยาว

“ยุทธชัย” บอกด้วยว่า โรงแรมที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยวค่อนข้างดีแล้วทั้งภูเก็ต กรุงเทพฯ พัทยา (ชลบุรี) ยกเว้นหัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์) และสมุย (สุราษฎร์ธานี) โดยตลาดที่หนักที่สุดคือ สมุย เนื่องจากเที่ยวบินที่เข้ามาสมุยยังมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับในอดีต

เช่นเดียวกับหัวหินที่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยยังต่ำ เรียกว่าวอลุ่มก็ยังไม่มา ราคาก็ยังไม่ได้ จึงคาดว่าทั้ง 2 ตลาดนี้น่าจะรีคัฟเวอร์ได้ช้าที่สุด

“เราก็ได้แต่หวังว่าทั้งภูเก็ต กรุงเทพฯ และพัทยาจะสามารถรักษาโมเมนตัมที่ดีได้ต่อเนื่องในครึ่งปีหลังนี้ ตลาดต่างประเทศน่าจะทยอยปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะตลาดในโซนมิดเดิลอีสต์และอินเดีย ปัจจุบันก็เริ่มมียอดการจองล่วงหน้าเข้ามาในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ส่งฝ่ายการตลาดออกไปหาลูกค้าในต่างประเทศแล้ว”

แบรนด์ระดับกลางเสียหายหนัก

“ยุทธชัย” บอกอีกว่า สำหรับโรงแรมในกลุ่มระดับกลางลงมาที่มีเรตราคาห้องพักเฉลี่ยที่ประมาณ 1,500-2,500 บาท อย่างแบรนด์ “โอโซ” หรือ OZO นั้นได้รับความเสียหายมาก เพราะวอลุ่มหายไปเยอะมาก ทั้งในที่ภูเก็ต สมุย พัทยา

ขณะที่แบรนด์ “ชามา” ซึ่งเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ยังได้รับการตอบรับค่อนข้างดี ได้รับผลกระทบน้อย อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ในระดับ 80-90% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพักระยะยาว (ลองสเตย์) ซึ่งบริษัทมีแผนลดจำนวนห้องสำหรับกลุ่มลองสเตย์ลง เพื่อนำห้องบางส่วนมาให้บริการเช่ารายวันในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น

และย้ำว่า อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวประเมินว่าธุรกิจโรงแรมในภาพรวมทั้งหมดยังต้องวิ่งสู้ฟัด หรือเหนื่อยกันต่อไปอีก 2-3 ปีแน่นอน

โฟกัส “เซาท์อีสต์เอเชีย”

“ยุทธชัย” บอกต่อไปอีกว่า ปัจจุบันกลุ่มออนิกซ์มีโรงแรมที่อยู่ในเครือข่ายจำนวน 52 แห่ง ใน 6 ประเทศ และมีโรงแรมที่อยู่ในแผนเปิดใหม่อีกประมาณ 4 แห่งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในมาเลเซียเป็นหลัก อาทิ กัวลาลัมเปอร์ ปีนัง จอร์จทาวน์ ฯลฯ ส่วนโครงการที่ใหญ่ที่สุดสำหรับปีนี้คือ โรงแรมอมารี มัลดีฟส์ ซึ่งจะมีแผนเปิดในช่วงปลายปีนี้

ทั้งนี้ มาเลเซียจะเป็นตลาดใหม่ที่สำคัญมากในอนาคต ซึ่งขณะนี้ “ออนิกซ์” มีพาร์ตเนอร์ระยะยาวและเป็นรายใหญ่ถึง 3 ราย และแต่ละรายก็มีแผนพัฒนาโรงแรมขนาดใหญ่ 300-400 ห้อง ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ บริษัทมีแผนตั้งรีจินอลออฟฟิศที่มาเลเซียด้วย เพื่อดูตลาดในมาเลเซียและสิงคโปร์

“หลังจากนี้เราจะโฟกัสตลาดในเซาท์อีสต์เอเชีย และค่อย ๆ เพิ่มพอร์ตในแต่ละประเทศให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยในแต่ละประเทศต้องมีโรงแรมรวมทุกแบรนด์ไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง เพื่อให้มีต้นทุนในการบริหารจัดการที่ถูกลง หรือมี economy of scale ตอนนี้ในเมืองไทยมีเกิน 10 แห่งแล้ว ต่อไปเราจะเพิ่มในมาเลเซียให้ได้ไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง หรือกลุ่มประเทศในเอเชียใต้ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง เป็นต้น ทั้งรูปแบบเข้าไปซื้อกิจการ หรือร่วมลงทุน”

ชะลอแผนลงทุนใหม่

“ยุทธชัย” บอกว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด กลุ่มออนิกซ์ก็ชะลอแผนการลงทุนใหม่เช่นกัน โดยคาดว่าน่าจะต้องรอประเมินสถานการณ์สัก 2 ปี

“แผนการลงทุนส่วนใหญ่ของเราจบไปก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 ทั้งสร้างใหม่และรีโนเวต เช่น โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ประตูน้ำ เพิ่งลงทุนรีโนเวตไปก่อนที่จะเกิดโควิด และเดิมทีเดียวเรามีแผนจะลงทุนสร้างอาคารใหม่อีกจำนวน 200 ห้อง แต่ก็ต้องชะลอไปก่อน หรือโครงการพัฒนาโครงการใหม่ที่ภูเก็ต สมุย ฯลฯ ซึ่งก็ต้องชะลอไปก่อนเช่นกัน”

เมื่อถามว่า ประเมินว่าจะชะลอการลงทุนออกไปนานแค่ไหน “ยุทธชัย” บอกว่า อาจต้อง 3-5 ปี แต่สำหรับกลุ่มออนิกซ์นั้นน่าจะรออีกสัก 2-3 ปี เพื่อดูจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม ไม่เน้นขยายเร็วเหมือนใน 10 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการรับบริหารนั้น บริษัทยังคงให้ความสำคัญและขยายต่อเนื่องอยู่เหมือนเดิม

ส่วนการลงทุนใหม่นั้นมองว่า ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ยังไม่เหมาะ เน้นทำที่มีอยู่ให้แข็งแกร่งก่อนดีกว่า