“พวงเพ็ชร” เจ้าแม่ กทม.คนใหม่ ล็อก “ชัชชาติ” ผู้ว่าฯ กทม.เชื่อมเพื่อไทย

คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
ผู้เขียน : ณัฐวุฒิ กรัณยโสภณ

 

ชื่อ “พวงเพ็ชร ชุนละเอียด” ไม่มีคนใดในพรรคเพื่อไทยไม่รู้จัก

เช่นเดียวกับแวดวงสังคมระดับสูง ก็ต้องรู้จักนักการเมืองหญิงผู้นี้

แม้ที่ผ่านมาเขาอยู่เบื้องหลังการเมือง ได้รับมอบจาก ทักษิณ ชินวัตร เป็นมือตั้งพรรคไทยรักษาชาติ ที่สร้างแผ่นดินไหวทางการเมือง จากกรณีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

วันนี้เธอแหวกม่านการเมืองหลังเวทีมายืนอยู่หน้าม่านเป็นครั้งแรก ในบทบาทแม่ทัพ กทม.คนใหม่ของพรรค

“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับพวงเพ็ชร นักการเมืองสายมู ที่เปิดบ้านให้ทุกคนไม่จำกัดขั้วการเมืองไปไหว้พระราหูทุกวันพุธ ถึงการรับบทบาทแม่ทัพ กทม.ครั้งแรกคุมการเลือกตั้งสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.)

เธอประกาศมัดมือ-ควงแขน “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้สมัครอิสระเต็งหนึ่งพ่อเมืองกรุงเทพฯ มาร่วมกับพรรคเพื่อไทยพลิกโฉมกรุงเทพฯหากชนะเลือกตั้ง

เปิดตัว พวงเพ็ชร เป็นใคร

ก่อนอื่น “พวงเพ็ชร” หรือคนในพรรคเรียกว่า “พี่แจ๋น” เริ่มต้นเล่าฉากคนเบื้องหลัง ผันตัวมาอยู่เบื้องหน้าในฐานะคุมการเลือกตั้ง ส.ก.ขึ้นแท่นเป็นแม่ทัพ กทม.ของพรรคเพื่อไทยคนใหม่ว่า

“อธิบายก่อนว่าเป็นคน กทม.โดยกำเนิด จบจากโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และไปจบปริญญาตรี-โทที่สหรัฐอเมริกา แต่สมัยน้าชาติ (พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) ทำธุรกิจซื้อขายที่ดิน ก็ไปที่ อ.ภูเรือ จ.เลย ชาวบ้านร่ำร้องให้ลงสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) ก็เลยเป็น ส.จ.ได้ 8 เดือน แล้วมาเป็น ส.ส.ของพรรคชาติพัฒนา”

“หลังจากนั้น พรรคชาติพัฒนามารวมกับพรรคไทยรักไทย ดิฉันกับคุณสุวัจน์ (ลิปตพัลลภ) ก็มาด้วยกัน ได้รับตำแหน่งต่าง ๆ ต่อมาก็เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย และเป็นกรรมการบริหารพรรค”

“เมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบ ก็เป็น 1 ในบ้านเลขที่ 111 ถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี ก็ว่างงาน ไปเรียนหลักสูตรต่าง ๆ ทั้ง วปอ. วตท. หลักสูตรแกรนด์สแลม เรียนครบเลย…ว่างมาก และไปเรียนปริญญาเอกที่ราชภัฏสวนดุสิต ใช้เวลา 5 ปีนั้นอยู่กับการหาความรู้ใส่ตัวเอง”

“หลังจากกลับมาท่านทักษิณ (ชินวัตร) อยากให้ช่วยดูแลพรรคไทยรักษาชาติ แต่ไม่ได้เป็นพรรคนอมินีของใคร แยกไปเพื่อจะทำงานอีกกลุ่ม เพื่อให้ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากขึ้น หลังพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ ก็ว่างอยู่นาน ทางพรรคเพื่อไทยขาดบุคลากร ก็ได้เข้ามาช่วย ดูแลภาพรวม แต่ช่วงนี้มาเป็นประธานสรรหาผู้สมัคร ส.ก.จึงได้มาจุดนี้”

ขณะเดียวกัน “พวงเพ็ชร” มักถูกมองว่าเป็น “สายตรง” ชินวัตร เธอบอกความสัมพันธ์นี้ว่า “แจ๋นก็เป็นลูกน้องท่าน ท่านก็เป็นนายกฯ ทั้ง 2 ท่าน ทั้งท่านทักษิณ และท่านยิ่งลักษณ์ ความที่สนิทสนมกับท่านก็แค่เจ้านายกับลูกน้อง ปีหนึ่งอาจไปเยี่ยมท่าน เช่น สงกรานต์ ก็เป็นประเพณีของคนที่เคารพนับถือกัน”

เธอบอกว่า จริง ๆ ชอบเป็นคนอยู่เบื้องหลัง ไม่ชอบออกข้างหน้า ไม่อยากเป็นจุดเด่นอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นคนชอบทำงาน ทำจริงจัง แต่ไม่ค่อยชอบเป็นข่าว ไม่ได้ปิดตัวอะไรทั้งสิ้น ในวงการนักเรียนด้วยกันก็จะรู้ดี จริง ๆ ชอบทำกิจกรรมมาก ไปเป็นอาสาสมัคร แจกของ ทำสาธารณกุศลก็ไปเป็นอยู่ประจำ มีความสุขได้เจอคน ได้รับใช้คน ที่สำคัญคือการไหว้พระ ส่วนมากวันพุธจะไม่รับนัดใคร เพื่อดูแลสมาชิกไหว้พระ

แผนเลือกตั้ง ส.ก.

ทว่า เมื่อสถานการณ์พาให้มาอยู่แนวหน้า เป็นแม่ทัพ กทม.ในตำแหน่งผู้อำนวยการการเลือกตั้ง ส.ก. และอาจไปถึงจัดทัพ ส.ส.เมืองหลวงของพรรคเพื่อไทย “พวงเพ็ชร” ชิงตอบก่อนว่า ดูแล ส.ส.ไม่รู้จะรับไหวหรือเปล่านะ เอาแค่ ส.ก.ก็ไม่เชิงกดดัน

“เพียงแต่มาแล้วมาไว (เลือกตั้ง) ต้องรีบทำหลาย ๆ อย่าง ทั้งงานเอกสารต่าง ๆ ของผู้สมัคร การเตรียมตัวลงพื้นที่ เริ่มกระชั้นเข้ามา ส่วน ส.ส.ยังหาไม่ครบทุกเขต มีสมัครมาเรื่อย ๆ แต่เราก็มีกรรมการสรรหา พรรคเพื่อไทยพร้อม อยากจะเลือกตั้งตอนไหนก็พร้อม เราคัดสรรตัวผู้สมัคร ส.ส.ไว้บ้างแล้ว”

พวงเพ็ชรคาดการณ์ว่า ส.ก.เพื่อไทยที่ส่งทั้งหมด 50 เขต น่าจะได้เข้าเส้นชัยมาก “เกินครึ่ง” เพราะเห็นความตั้งใจของผู้สมัครทุกท่าน และเห็นความขยันทำงาน

หลังจากได้รับคัดเลือก ทำงานอย่างเต็มที่ ช่วงโควิด-19 ที่เกิดขึ้น 2 ปีกว่าที่ทำมา คิดว่าทุกคนมุ่งมั่นรับใช้ประชาชนเหมือนกับว่าเป็นเหมือนความทุกข์ร้อนของตัวเอง

ส่วนนโยบายที่วางไว้จะพลิกโฉม กทม.อย่างไรนั้น อยู่ที่ว่าเราต้องทำงานในสภา กทม.ด้วย ถ้าได้ ส.ก.มาเยอะก็จะได้ผลักดันนโยบายที่เราหาเสียงไว้ให้กับผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ด้วย และที่สำคัญเรื่องการตรวจสอบงบประมาณซึ่งมีมากกว่าแสนล้านในสภา กทม.

“พวงเพ็ชร” มั่นใจว่า จุดชี้ขาดชัยชนะในสนาม กทม. คือ นโยบาย “เพื่อไทย นโยบายชัดเจนและทำได้ เรามั่นใจว่าเราทำได้ทุกนโยบายที่เราออกไป คิดว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของพรรคเพื่อไทย และทำเพื่อบรรเทา บำบัดความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง”

“สิ่งที่เรามีคือ ความมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาวิกฤตในตอนนี้ 2 เรื่องใหญ่ คือ ปัญหาวิกฤตกับปัญหาโรคระบาดที่เราเจอ คิดว่า 2 สิ่งนี้เราอดทนกับผู้บริหาร กทม.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมาช้านานแล้ว เป็นความทุกข์ทรมานที่สะสมปีต่อปีจนมีการเลือกตั้งครั้งนี้”

“ดังนั้น นโยบายต่าง ๆ ที่เราไปเก็บรวบรวม ทั้งการศึกษา หมวดสาธารณสุข หมวดสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัญหาเรื่องขยะ มลพิษ ที่สำคัญคือเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ค้าขายไม่ได้ เรานำมาเป็นนโยบาย คิดว่าเป็นนโยบายที่ถูกใจคน กทม.”

“อีกทั้งพรรคเพื่อไทยทำการบ้านทุกเดือน และให้ส่งการบ้านโดยเฉพาะปัญหาต่าง ๆ วิธีการแก้ไข ตรงไหนที่จะเป็นนโยบายของตัวท่านเองในเขตนั้น เราให้เขาทำการบ้านหมด ปัญหาในพื้นที่จะได้รับการแก้ไข หากพวกเขาได้เป็น ส.ก. โดยวันที่ 24 มีนาคม เราจะเปิดตัว ส.ก.ทั้ง 50 เขต”

ผูกปิ่นโตชัชชาติ

อย่างไรก็ตาม จุดสูงสุดของอำนาจบริหาร กทม. คือ ผู้ว่าฯ กทม.ที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งลงแข่งเลือกตั้งในครั้งนี้  “พวงเพ็ชร” ตอบว่า พอดีคุณชัชชาติเคยเป็นแคนดิเดตของพรรค ตอนที่ท่านออกไป ท่านมีความรู้สึกว่าอยากลงอิสระ เพราะการเป็นผู้ว่าฯ ต้องประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งกระทรวงหลายกระทรวง ทั้งฝ่ายที่เป็นรัฐบาลด้วย

ซึ่งความตั้งใจของท่านไม่มีอะไรเสียหาย เมื่อท่านชัชชาติ อยากทำงานที่เป็นอิสระ และเห็นว่าท่านตั้งใจทำงานรับใช้ชาว กทม.เราก็ยินดีด้วย

“ท่านเคยอยู่ที่พรรคเพื่อไทย เคยเป็นอดีตแคนดิเดตนายกฯ ก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ถ้าท่านไปลงสมัครเราในนามของพรรคเพื่อไทยก็ยินดีสนับสนุน”

แล้วถ้าผู้ว่าฯ กทม.ไม่ใช่ “ชัชชาติ” จะทำอย่างไร เธอตอบว่า “ก็ไม่มีปัญหาถ้าไม่ได้ท่านชัชชาติ แต่เราก็อยากได้ชัชชาตินะ”

“แต่แม้ไม่ใช่ชัชชาติ ก็ต้องดูว่าผู้ว่าฯ คนใหม่เป็นใคร แต่ที่สำคัญต้องมีนโยบายที่ตรงและสอดคล้องกับเรา และเราดูว่านโยบายอะไรของเราที่ทำไว้ ไปผลักดันกับผู้ว่าฯ ไม่ว่าผู้ว่าฯคนไหน เราก็สามารถทำงานได้ ด้วยความถูกต้องและตามความต้องการของประชาชน”

เธอคิดว่า “นโยบาย” ของ “ชัชชาติ” กับพรรคเพื่อไทยแมตช์กัน

“นโยบายที่สำคัญของท่านชัชชาติคือเรื่องเศรษฐกิจ สาธารณสุข คมนาคม เขามี 200 นโยบาย ทำงานได้ละเอียด ที่สำคัญเรื่องเศรษฐกิจ สาธารณสุข 40-50% ของนโยบายท่านชัชชาติสอดคล้องกับนโยบาย ส.ก.พรรคเพื่อไทยที่จะออกมาวันที่ 24 มีนาคมนี้”

“แต่หากผู้ว่าฯ กทม.กลายเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ชัชชาติ เราก็ต้องผลักดันนโยบายของเราไปปฏิบัติให้ได้ เพราะเราได้หาเสียงไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นท่านชัชชาติหรือคนอื่น ๆ ก็ต้องผลักดันนโยบายของเราในสภา กทม.”

ล้างอาถรรพ์เพื่อไทย

แต่เหมือนเป็นอาถรรพ์ เพราะพรรคเพื่อไทยไม่เคยประสบความสำเร็จการเมืองท้องถิ่นใน กทม. ไม่ว่าไทยรักไทย เพื่อไทย เคยส่งคนลงชิงเก้าอี้แต่ไม่เคยชนะ ต่างจากครั้งนี้ “พวงเพ็ชร” ยืนยันว่าเตรียมการอย่างดี

“ที่ผ่านมาเพราะเราเตรียมการน้อย บอกได้เลยสมัยก่อนเวลาจะส่งผู้ว่าฯ กทม. หรือ ส.ก. แต่ละที ใช้เวลา 1-2 เดือน การตัดสินใจพวกเราช้า แต่เที่ยวนี้เราเตรียมตัวกันมานาน คิดว่าเราจะได้รับชัยชนะในครั้งนี้”

“ครั้งที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลส่ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ลงแข่งแต่ยังไม่ชนะ เพราะช่วงนั้นยังมีหลายปัจจัย ความแตกแยกของคนในประเทศมีเยอะ แต่ช่วงนี้ดีขึ้น ประเทศชาติไม่ได้แตกแยกมากมาย ช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงรวมใจของคนทั้งประเทศมาช่วยกันแก้ปัญหา”

เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง นายกฯเพื่อไทย?

ในศึกเลือกตั้งใหญ่พรรคเพื่อไทยเคยได้ ส.ส.กรุงเทพฯแค่ 9 ที่นั่ง แต่วันนี้ “พวงเพ็ชร” ขอเพิ่ม

ที่คิดว่าจะต้องได้เพิ่มเพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาล ทุกคนรู้ว่าพรรคเพื่อไทยมีนโยบายเข้มแข็งในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ดังนั้น คิดว่าคนต้องมาเลือกพรรคเพื่อไทย ณ จุดนี้

“เราเคยสำเร็จในเรื่องการแก้ปัญหาและนโยบายที่สำเร็จมาแล้ว คิดว่าคนต้องกลับมาเลือกพรรคเพื่อไทย เพื่อมาแก้ปัญหา แก้วิกฤตต่าง ๆ ยังมั่นใจนโยบายพรรคเพื่อไทย”

ในเวลาเดียวกัน “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทย ลูกสาวคนเล็กของ “พี่โทนี่-ทักษิณ” ถูกเข็นมายืนกลางสปอตไลต์พรรคเพื่อไทยมากขึ้น ประหนึ่งเป็นแคมเปญผลักดันคนนามสกุลชินวัตร เป็น “นายกฯ” อีกรอบ

“พวงเพ็ชร” คนวงในเพื่อไทย ใกล้ชิดบ้านชินวัรต กล่าวว่า ยังเป็นแค่การนำเอาน้องอุ๊งอิ๊งมาเป็นในฐานะที่ปรึกษาของพรรค แต่ทั้งหมดอยู่ที่อนาคตว่าพรรคของเราจะเดินไปในทิศทางไหน ในอนาคตเราต้องการบุคลิกของคนเช่นใดที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี

ส่วนกรณีเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาฯ ที่เคยเป็นข่าวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ พรรคยังให้น้ำหนักเท่าเดิมไหม หรือไม่ “พวงเพ็ชร” ตอบว่า

“เราเปิดกว้างสำหรับคนมาช่วยพรรค ยิ่งเป็นนักธุรกิจหรือมีประสบการณ์เรื่องเศรษฐกิจ พรรคเราก็เปิดกว้าง ให้คนมาช่วยงานพรรค เราไม่ได้ปิดกั้น”

“ขึ้นอยู่กับตัวท่าน พร้อมหรือมีความตั้งใจ มุ่งมั่นเข้ามารับใช้ประเทศชาติหรือเปล่า เพราะเรื่องงานการเมืองเป็นเรื่องของการรับใช้ชาติ ต้องเสียสละอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อจะมารับใช้ชาติ ต้องดูว่าท่านเศรษฐา พร้อมอย่างไรที่จะเข้ามารับใช้ประเทศชาติด้วย”