
สื่ออเมริกัน ซีเอ็นเอ็น เผยแพร่รายงาน จับทางอินเดีย คบค้าสมาคมกับรัสเซียสองทาง ทางหนึ่งเหมือนจะเตือน แต่อีกทางเหมือนให้ท้าย
วันที่ 4 ตุลาคม 2565 ซีเอ็นเอ็น รายงานวิเคราะห์ท่าทีล่าสุดของรัฐบาลอินเดีย ในการคบหากับรัฐบาลรัสเซียว่า แม้นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย เอ่ยเตือนนายวลาดิมีร์ ปูติน ตรง ๆ ว่า “ยุคสมัยของวันนี้ไม่ใช่ยุคสงครามแล้ว” แต่ในทางปฏิบัติ อินเดียยังวางตัวต่างออกไป
วาทะดังกล่าวของนายโมดีได้รับคำชื่นชมจากชาติตะวันตก ว่าสมกับที่อินเดียเป็นชาติประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก นายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ต่างยกย่องว่าเป็นถ้อยแถลงของหลักการ

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ในทางปฏิบัติอินเดียไม่ได้ตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับรัสเซีย ทั้งยังบั่นทอนมาตรการแซงก์ชั่นของชาติตะวันตก ด้วยการซื้อน้ำมัน ถ่านหิน และปุ๋ย ซึ่งเท่ากับต่ออายุทางการเงินให้รัฐบาลนายปูติน
ขณะเดียวกัน อินเดียถูกจับจ้องว่าไม่ได้ร่วมประณามรัสเซียบนเวทีสหประชาชาติ อีกทั้งเมื่อเดือนสิงหาคม ยังไปร่วมซ้อมรบใหญ่กับรัสเซีย พร้อมจีน เบลารุส มองโกเลีย และทาจิกิสถาน ที่รัสเซียขนขบวนปืนใหญ่มาด้วย

สัปดาห์ก่อน อินเดียไม่ได้ร่วมมติประณามรัสเซียที่จัดประชามติแล้วฮุบ 4 ดินแดนภูมิภาคของยูเครน ทั้งที่เป็นการผนวกรวมดินแดนโดยผิดกฎหมาย อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงให้สงครามลากยาวออกไป
รุจิรา คัมโภช ผู้แทนถาวรของอินเดียประจำสหประชาชาติ กล่าวเพียงว่า อินเดียรู้สึกคับข้องใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่คืบหน้าอยู่ในยูเครน แต่ถ้อยแถลงหยุดอยู่เพียงเท่านี้ ไม่มีการตำหนิ หรือเรียกร้องให้หยุดยิง หรือหาทางออกในความขัดแย้งนี้
ทีปา โอฬะปัลลี นักวิจัยและผู้อำนวยการสถาบันการศึกษากิจการระหว่างประเทศ Rising Powers Initiative at the Elliott School of International Affairs มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน กล่าวว่า ถ้อยคำแข็งกร้าวขึ้นของนายโมดีที่พูดกับนายปูติน ถูกมองว่าสะท้อนถึงความเดือดร้อนที่สงครามนำมาสู่ประเทศอื่น ๆ ในด้านที่ราคาอาหาร ราคาพลังงาน และราคาปุ๋ยแพงขึ้น
“มันมีจุดของการหมดความอดทน (สำหรับอินเดีย) ที่มาจากการเพิ่มความเข้มข้นของสงคราม เป็นความรู้สึกที่ปูตินไปผลักดันข้อจำกัดของอินเดียในทางหนึ่ง แสดงให้เห็นว่ามาถึงจุดที่อินเดียไม่สบายใจแล้ว” นักวิชาการหญิงกล่าว

อินเดียสองนครา
หากย้อนไปเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน จังหวะที่รัสเซียเริ่มส่งทหารเข้าไปประชิดพรมแดนยูเครน นายโมดีเปิดบ้านต้อนรับนายปูตินที่กรุงนิวเดลี ในการประชุมสุดยอดผู้นำอินเดีย-รัสเซีย ครั้งที่ 21
ตอนนั้นนายโมดีเรียกนายปูตินว่า “เพื่อนรัก” และว่า “ความผูกพันกับอินเดีย และคำมั่นสัญญาส่วนบุคคลของคุณเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย-รัสเซีย ผมปลื้มคุณในเรื่องนี้มาก”
ถ้าย้อนไปไกลกว่านั้น ช่วงสงครามเย็น อินเดียเป็นชาติที่พึ่งพารัฐบาลรัสเซียมากในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งต้องใช้เผชิญความตึงเครียดที่พรมแดนหิมาลัยกับจีน
แต่บทวิเคราะห์บางชิ้นเชื่อว่าอินเดียกังวล ถ้ายิ่งโดดเดี่ยวปูตินมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้รัฐบาลรัสเซียหันเข้าหาใกล้ชิดกับรัฐบาลจีนมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่อินเดียต้องระมัดระวัง

นักวิจัย โอฬะปัลลา มองว่า การที่อินเดียไปร่วมซ้อมรบวอสต็อกกับรัสเซียที่มีจีนร่วมด้วย จนถูกชาติตะวันตกแถลงโจมตีนั้น อาจมองได้ว่านี่เป็นสองแนวทางของอินเดีย หนึ่งคือผลักดันต่อต้านจีน สองคือการเข้าไปร่วมซ้อมรบกับจีนและรัสเซียด้วย ซึ่งทำให้รัสเซียดูมีความชอบธรรมไปโดยปริยาย
สำหรับสงครามรัสเซียบุกยูเครนครั้งนี้ ทั้งอินเดียและจีนมีจุดยืนคล้ายกันมาก คือวางตัวเป็นผู้สังเกตการณ์กลาง ๆ มากกว่าจะเอ่ยต่อต้าน ทั้งสองประเทศต่างเรียกร้องสันติภาพ แต่ก็ไม่ยอมประณามการรุกรานของรัสเซีย
จีนไม่เห็นด้วยกับการแซงก์ชั่นของชาติตะวันตก ตำหนิทั้งสหรัฐ และกลุ่มนาโต ว่าทำให้เกิดความขัดแย้ง ตรงตามที่รัสเซียกล่าวหา ว่านาโตสร้างวิกฤตนี้ด้วยการขยับเข้าใกล้ฝั่งตะวันออกของรัสเซีย
ด้านสื่อมวลชนจีนปกป้องรัสเซียด้วยว่า ถูกประโคมข่าวผิด ๆ ขณะที่อินเดียถอยจากการวิจารณ์นาโต และใช้คำหนักหน่วงในการเรียกร้องสันติภาพขณะที่สงครามเข้มข้นขึ้น
แม้ว่าอินเดียจะสนิทสนมกับชาติตะวันตก แต่ก็ต้องคิดถึงอันตรายที่มาจ่ออยู่หลังบ้านก่อน
“จีนยังคงเป็นภัยคุกคามใหญ่ที่พรมแดนอินเดีย และอินเดียไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์รัสเซีย-จีน แข็งแกร่งมากไปกว่านี้” สุศันต์ สิงห์ นักวิชาการศูนย์วิจัยนโยบายที่กรุงนิวเดลี ให้ความเห็น

หน้าไหว้หลังหลอก
การพบปะนอกรอบตัวต่อตัวระหว่างนายโมดีกับนายปูติน บนเวทีการประชุมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ ที่อุซเบกิสถาน เมื่อเดือนกันยายน นายโมดีกล่าวว่า โลกกำลังเผชิญความท้าทายมากมาย ทั้งการขาดแคลนอาหารและพลังงาน ซึ่งมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อชาติกำลังพัฒนา
“ผมรู้ว่ายุคสมัยของวันนี้ไม่ใช่ยุคของสงคราม เราคุยกับคุณหลายครั้งทางโทรศัพท์ถึงเรื่องประชาธิปไตย การทูต และการเจรจา ทั้งหมดนี้มีผลต่อโลก” นายโมดีกล่าวกับนายปูติน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลนายโมดีถูกมองว่า ลดทอนฟรีสปีช หรือการแสดงความคิดเห็นโดยเสรีของคนในสังคม ทั้งยังมีนโยบายเลือกปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อย นายสิงห์เห็นว่าจุดอ่อนนี้ทำให้อินเดียเสี่ยงที่จะถูกมองว่า “หน้าไหว้หลังหลอก”
“อินเดียลังเลที่จะหยิบยกประเด็นประชาธิปไตยมาพูด เพราะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อชนกลุ่มน้อยทางศาสนา” สิงห์กล่าว
ด้านโอฬะปัลลามองว่า อินเดียทำได้มากกว่านี้ มากกว่าการเป็นประเทศกำลังพัฒนา โดยยึดหลักการประชาธิปไตย เน้นถึงบทนำในรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ได้มีอะไรต้องเสียเลย หากแถลงไปตามบทบัญญัตินั้น
……