ต่างชาติถอยห่างจีนยิ่งขึ้น การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) Q2/2023 ต่ำสุดใน 25 ปี

จีน
กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน/ ภาพโดย Thomas Peter/ REUTERS

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของจีน ในไตรมาส 2 ปี 2023 ลดลงครั้งใหญ่สุดและทำให้มูลค่าการลงทุนอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ปีเริ่มมีการเก็บข้อมูลเมื่อ 25 ปีที่แล้ว สาเหตุหลักมาจากสงครามเทคระหว่างสหรัฐกับจีน และความไม่มั่นใจของต่างชาติว่าจีนจะเปิดรับโลกภายนอกไปอีกนานแค่ไหน 

สำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2023 ว่า มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของประเทศจีนในไตรมาส 2 ปี 2023 อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 

ตามการเปิดเผยของสำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศของจีน (State Administration of Foreign Exchange of China) การลงทุนโดยตรงของบริษัทต่างชาติในจีนในไตรมาส 2 ของปี 2023 มีมูลค่าอยู่ที่ 4,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 87% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) เป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลในปี 1998 หรือ 25 ปีที่แล้ว

ทั้งนี้ ความเหือดแห้งของเงินตราต่างประเทศไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับจีน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในจีนลดลงมากกว่า 50% นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีที่แล้ว เนื่องจากนโยบายปลอดโควิด (zero-COVID) อันเข้มงวดของจีนที่มีการสั่งล็อกดาวน์มหานครเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าและเศรษฐกิจของประเทศ เป็นความไม่แน่นอน เพิ่มความไม่มั่นใจของชาวต่างชาติ และมีส่วนทำให้สูญเสียโมเมนตัมการลงทุน 

แม้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในจีนเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ตั้งแต่นโยบายปลอดโควิดถูกยกเลิกในเดือนมกราคม 2023 แต่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง 

ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนของบริษัทต่าง ๆ 

ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2022 (ราวเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน) หอการค้าอเมริกันในจีน (AmCham China) ได้สอบถามบริษัทสมาชิกประมาณ 320 แห่งเกี่ยวกับความเสี่ยงทางธุรกิจที่พวกเขาเผชิญในตลาดจีน “ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีน” คือคำตอบที่ผู้ตอบแบบสอบถามตอบมากที่สุด สัดส่วนถึง 66% ของทั้งหมด

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐกำลังส่งเสริมแนวคิด “friend-shoring” ซึ่งจะสร้างห่วงโซ่อุปทานกับประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่เป็นมิตรเท่านั้น ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อการลงทุนของต่างชาติในจีน

เมื่อวันพุธที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของโจ ไบเดน (Joe Biden) ได้ประกาศกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการลงทุนในประเทศจีน โดยห้ามบริษัทสหรัฐร่วมลงทุนกับบริษัทจีนในด้านเซมิคอนดักเตอร์และไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้านควอนตัม และด้านระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) บางระบบ ซึ่งอาจขัดขวางการลงทุนของบริษัทสหรัฐในจีนต่อไป

ความสงสัย-คลางแคลงใจเกี่ยวกับการเปิดกว้างของจีนต่อโลกภายนอกก็ฉุดรั้งการลงทุนเช่นกัน เมื่อ AmCham China ถามสมาชิกว่า มั่นใจหรือไม่ว่าประเทศจีนจะยังคงเปิดรับต่างชาติต่อไปในอีก 3 ปีข้างหน้า มีเพียง 34% เท่านั้นที่ตอบว่า “มั่นใจ” ซึ่งลดลงมากจากเมื่อสองปีที่แล้ว ที่สัดส่วนบริษัทที่ตอบว่า “มั่นใจ” มีถึง 61% 

โทรุ นิชิฮามะ (Toru Nishihama) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันวิจัย Dai-ichi Life Research Institute กล่าวว่า มีความกังวลเพิ่มมากขึ้นว่า กฎหมายต่อต้านการจารกรรมฉบับแก้ไขของจีนจะจำกัดการค้าและการลงทุน

กฎหมายดังกล่าวขยายขอบเขตของพฤติกรรมที่ถือว่าเป็น “การสอดแนม” มีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สร้างความกังวลอย่างกว้างขวางในหมู่บริษัทต่างชาติว่าพนักงานจะตกเป็นเป้าหมาย

แม้ผ่านมาแล้ว 7 เดือนกว่าหลังจากที่นโยบายปลอดโควิดสิ้นสุดลง เศรษฐกิจจีนก็ยังขาดแรงผลักดัน ภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเคยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจก็ยังอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างเพื่อพยายามออกจากวิกฤต และไม่น่าจะเติบโตได้ ขณะที่การมีส่วนร่วมของกำลังแรงงานที่ลดลงก็จะสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย 

จีนมีเป้าหมายที่จะสร้างห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ขึ้นภายในประเทศ แต่การถูกจำกัดการเข้าถึงอุปกรณ์และชิ้นส่วนที่จำเป็นจากต่างประเทศกำลังถูกขัดขวางจากสหรัฐและพันธมิตร 

หากการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการเติบโตของการผลิตชะลอความเร็วลง ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจในจีนยาวนานกว่าที่คาดไว้ ซึ่งการชะลอตัวของการเติบโตของเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกจะเป็นภาระที่หนักอึ้งสำหรับทั้งโลก