
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ
เศรษฐกิจจีนที่เติบโตในระดับเลขสองหลักเป็นเวลาหลายปี จนทำให้จีนที่เคยเป็นประเทศเกษตรกรรมและมีผลผลิตไม่ถึง 2% ของผลผลิตโลกในปี 1980 กลายมามีผลผลิตราว 20% ในปัจจุบัน ทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างทำนายอย่างต่อเนื่องว่า จีนจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจเบอร์ 1 ของโลกแทนสหรัฐอเมริกาในไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม “ดักลาส คาร์สเวลล์” ประธานศูนย์นโยบายสาธารณะมิสซิสซิปปีและอดีตสมาชิกรัฐสภาอังกฤษ เห็นว่า ความเชื่อที่ว่าจีนจะแซงสหรัฐอเมริกาเป็น “ภาพลวงตา” ครั้งใหญ่ ซึ่งจะเห็นว่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญและผู้มีภูมิรู้พากันเขียนบทความทำนายลักษณะนี้มาหลายสิบปีแล้วตอนแรกก็บอกว่าจีนจะแซงอเมริกาในทศวรรษ 2020 จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นทศวรรษ 2030 แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนคำทำนายใหม่เป็นก่อนปี 2050
คาร์สเวลล์ระบุว่า ในความเห็นส่วนตัวจีนไม่มีทางจะแซงอเมริกาได้เลย เพราะปีที่แล้วจีนเสียแชมป์การเป็นประเทศที่ประชากรมากที่สุดในโลกให้กับอินเดียไปแล้ว และแนวโน้มทางประชากรศาสตร์แย่ลง คาดว่าภายในสิ้นศตวรรษนี้ประชากรจีน จะเหลือ 800 ล้านคน จากปัจจุบัน 1.4 พันล้านคน และในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะเห็นเศรษฐกิจจีนเติบโตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ท่าทีและวิธีคิดของ “สี จิ้นผิง” ผู้ปกครองจีนคนปัจจุบัน มีส่วนทำให้ เศรษฐกิจจีนจะไม่สามารถแซงสหรัฐอเมริกา เพราะจีนนั้นแม้จะเข้าร่วมในระบบระหว่างประเทศ และเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ท่ามกลางความเชื่อของฝ่ายตะวันตกเมื่อ 20 ปีที่แล้วว่า จีนจะมีความเป็นตะวันตกมากขึ้นและเปิดรับประชาธิปไตย แต่กลายเป็นว่าจีนภายใต้การปกครองของ สี จิ้นผิง นอกจากไม่เป็นตะวันตก แล้วยังต่อต้านตะวันตกอีกด้วย
คาร์สเวลล์บอกว่า เศรษฐกิจจีนสามารถเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วก็เนื่องมาจากการปฏิรูปในยุค เติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งมีนโยบายเป็นมิตรต่อตลาด การตัดสินใจต่าง ๆ ของรัฐบาลมีลักษณะค่อนข้างกระจายอำนาจ มณฑลต่าง ๆ มีอำนาจปกครองตนเองค่อนข้างมาก รัฐบาลกลางพยายามไม่เข้าไปรวบอำนาจทุกการตัดสินใจของท้องถิ่น ภาคธุรกิจอย่างน้อยก็มีช่องทางดำเนินธุรกิจแบบตลาดเสรีอยู่บ้าง
“แต่ภายใต้ สี จิ้นผิง ได้ละทิ้งการปฏิรูปของ เติ้ง เสี่ยวผิง แล้วหันกลับไปใช้ระบบการปกครองแบบราชวงศ์หมิง ที่สั่งการจากบนลงล่าง กระทบต่อความมั่นใจของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม ขณะเดียวกันแรงงานราคาถูก ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในปัจจัยที่หนุนส่งเศรษฐกิจก็มีราคาสูงขึ้นเมื่อจำนวนประชากรไม่ขยายตัวและแก่ชราลง”
จีนเคยเป็นแหล่งของสิ่งประดิษฐ์ยิ่งใหญ่หลายอย่าง ตั้งแต่เข็มทิศ การพิมพ์ ไปจนถึงดินปืน ที่มีส่วนสร้างโลกสมัยใหม่ แต่การที่จีนปกครองแบบบนลงล่างทำให้ไม่สามารถตักตวงประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้น ไม่เหมือนยุโรป และการที่ในปัจจุบันจีนได้ตัดขาดพลเมืองของตัวเองออกจากโลกภายนอกอีกครั้ง ปราบปรามทุกคนที่เห็นต่าง ใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดกวดขันจนทำลายการเติบโตของนวัตกรรม ประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอยอีกครั้ง
“จีนในปัจจุบันห่างไกลจากการเป็นเครื่องสร้างพลังเศรษฐกิจ แต่อยู่ในเส้นทางที่จะกลายเป็นเหมือนญี่ปุ่นในอดีต ญี่ปุ่นก็เคยถูกคาดหมายว่าจะแซงอเมริกา แต่ปัญหาหนี้สินท่วมท้นและประชากรที่แก่ชรา ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เคยรุ่งเรืองโดยใช้ส่งออกเป็นตัวนำ ต้องประสบภาวะเศรษฐกิจชะงักงันอยู่หลายสิบปี”
ในอีกด้านหนึ่ง บลูมเบิร์กรายงานว่า เศรษฐกิจจีนที่มีความไม่แน่นอน เพราะประสบอุปสรรคทั้งจากหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจหลังโควิดที่ไม่ค่อยฟื้นตัว ทำให้เศรษฐีจีนและคนชั้นกลางหาช่องทางโยกย้ายเงินไปต่างประเทศ ทั้งเพื่อความปลอดภัยของเงินและอาจจะเพื่อเอาไว้ใช้ในอนาคตกรณีมีแผนจะอพยพหนีไปอยู่ต่างประเทศ แต่เนื่องจากตามกฎระเบียบของทางการอนุญาตให้นำเงินออกได้ไม่เกินปีละ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ เศรษฐีเหล่านี้จึงหลบเลี่ยงไปใช้บริการเครือข่ายโอนเงินใต้ดินแทน จนทำให้บริการเหล่านี้เติบโตอย่างมาก
บลูมเบิร์กระบุว่า จากรายงานของธนาคารยูบีเอส พบว่าปลายปีที่แล้วมีชาวจีนประมาณ 6.2 ล้านคน มีทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ ขณะที่บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ จูไว่ อีฉี ประเมินว่าในระยะ 2 ปีข้างหน้า จะมีชาวจีนมากกว่า 7 แสนคน อพยพไปอยู่ต่างประเทศ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าภายในปีนี้จะมีการโยกเงินออกจากจีนราว 1.5 แสนล้านดอลลาร์