สหรัฐขาดดุลงบฯ $1.7 ล้านล้าน ขณะไบเดนขอแสนล้านหนุนอิสราเอล-ยูเครนทำสงคราม

US Capitol - อาคารรัฐสภาสหรัฐ (ภาพโดย SAUL LOEB / AFP)

ขณะที่สงครามในตะวันออกกลางกำลังดุเดือด ทั่วโลกได้เห็นบทบาทของสหรัฐในฐานะ “พี่ใหญ่” ที่คอยสนับสนุนอิสราเอลทั้งด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ เงิน และ “เสียง” ที่ดังกว่าใครในเวทีโลก 

เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา หลังเดินทางกลับจากอิสราเอล โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐได้ร้องขอให้รัฐสภาอนุมัติงบประมาณเร่งด่วนวงเงิน 106,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.861 ล้านล้านบาท) สำหรับเป็นงบประมาณด้านความมั่นคงและความช่วยเหลือต่างประเทศ 

งบประมาณ 106,000 ล้านดอลลาร์ที่ไบเดนเสนอขอนั้นจะถูกแบ่งเค้กออกเป็น 5 ก้อน ก้อนที่ใหญ่ที่สุด 61,400 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.24 ล้านล้านบาท) จะถูกใช้เพื่อสนับสนุนยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย 

อีกก้อน 14,300 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.2 แสนล้านบาท) จะสนับสนุนอิสราเอลทำสงครามในตะวันออกกลาง 

เงินสองก้อนสำหรับสนับสนุนยูเครนและอิสราเอลทำสงครามรวมกันแล้วคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 71.42% ของวงเงินงบประมาณที่ไบเดนเสนอขอ 

ก้อนที่ 3 อีก 14,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.1 แสนล้านบาท) รัฐบาลสหรัฐจะใช้เพื่อเฝ้าระวังชายแดนสหรัฐ ทั้งเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ และเพิ่มเครื่องตรวจจับต่าง ๆ เพื่อป้องกันผู้อพยพแอบเข้าประเทศ 

งบประมาณ 7,400 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.7 แสนล้านบาท) จะใช้สำหรับโครงการริเริ่มด้านความมั่นคงในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก เพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีน 

ส่วนอีก 9,150 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.33 แสนล้านบาท) ถูกจัดสรรไว้สำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในยูเครน อิสราเอล ฉนวนกาซา และที่อื่น ๆ ซึ่งจะพิจารณาจัดสรรในภายหลังจากที่ได้รับอนุมัติงบประมาณแล้ว 

หนึ่งวันก่อนจะยื่นของบประมาณ โจ ไบเดน ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากเยือนอิสราเอลได้กล่าวเน้นย้ำความจำเป็นที่สหรัฐจะต้องช่วยยูเครนและอิสราเอล ในฐานะที่สหรัฐเป็นผู้นำของโลก สหรัฐจะต้องยึดโยงทั้งโลกเอาไว้ด้วยกัน

“ฮามาสและปูตินเป็นตัวแทนของภัยคุกคามที่ต่างกัน แต่พวกเขาก็มีสิ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขาทั้งสองต้องการทำลายล้างระบอบประชาธิปไตยของเพื่อนบ้าน” เขากล่าว

ไบเดนบอกว่า การหยุดยั้งการรุกรานของฮามาสกับรัสเซีย ไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของสหรัฐเท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อโลกในวงกว้างด้วย 

เขากล่าวว่า หากสหรัฐเดินหนีออกไป (จากเรื่องนี้) แล้วผู้รุกรานทำสำเร็จ คนอื่น ๆ ก็อาจ “กล้าที่จะลองทำแบบเดียวกัน” เป็นการกระจายความเสี่ยงของความขัดแย้งไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก 

“ความเป็นผู้นำแบบอเมริกันคือสิ่งที่ยึดโยงโลกไว้ด้วยกัน” 

“พันธมิตรของอเมริกาคือสิ่งที่ทำให้อเมริกาปลอดภัย ค่านิยมแบบอเมริกันคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นหุ้นส่วนที่ประเทศอื่น ๆ ต้องการทำงานด้วย” ประธานาธิบดีสหรัฐกล่าว 

โจ ไบเดน แถลงต่อประชาชนในห้องทำงานรูปไข่ ทำเนียบ
โจ ไบเดน แถลงต่อประชาชนในห้องทำงานรูปไข่ ทำเนียบขาว วันที่ 19 ตุลาคม 2023 (ภาพโดย JONATHAN ERNST / POOL / AFP)


ในวันเดียวกันนั้น รัฐบาลสหรัฐรายงานการขาดดุลงบประมาณ 1.695 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 61.63 ล้านล้านบาท) ในปีงบประมาณ 2023 ซึ่งสิ้นสุดในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการขาดดุลเพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากรายได้ลดลง ขณะที่รายจ่าย หนี้ และต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้น 

การขาดดุลในปีล่าสุดนี้ นับเป็นการขาดดุลที่สูงที่สุด หากไม่นับในช่วงปีที่โควิด-19 ระบาดหนักในปี 2020 และ 2021 ซึ่งขาดดุล 3.13 ล้านล้านดอลลาร์ และ 2.78 ล้านล้านดอลลาร์ ตามลำดับ อีกทั้งยังเป็นการกลับมาของ “การขาดดุลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” หลังจากที่การขาดดุลลดลงติดต่อกันในช่วง 2 ปีแรกของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน 

รายได้รวมของรัฐบาลสหรัฐในปีงบประมาณ 2023 ลดลง 457,000 ล้านดอลลาร์ หรือลด 9% จากปีงบประมาณ 2022 เหลือ 4.439 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากจัดเก็บภาษีเงินได้ได้น้อยลง ท่ามกลางผลการดำเนินงานที่แย่ลงของหุ้นและสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ ที่รัฐบาลถือครอง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ขณะที่ฝั่งค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2023 ลดลงเพียง 2% จากปีก่อนหน้าเหลือ 6.134 ล้านล้านดอลลาร์ 

เจเน็ต เยลเลน (Janet Yellen) รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และ ชาลันดา ยัง (Shalanda Young) ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและงบประมาณของสหรัฐกล่าวว่า รายได้ที่ลดลงของรัฐบาลมีส่วนสำคัญต่อการขาดดุลในปีงบประมาณ 2023 ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของนโยบายที่ประธานาธิบดีไบเดนประกาศและเสนอให้มีการปฏิรูประบบภาษี 

ทั้งนี้ แม้ว่าการขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงโควิด-19 เมื่อปี 2020 นั้น เป็นการขาดดุลเนื่องจากภาวะ “ไม่ปกติ” เป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด และอยู่เหนือการควบคุม 

แต่สำนักงานงบประมาณของรัฐสภาสหรัฐ (Congressional Budget Office) เตือนว่า หากรายได้และการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐยังดำเนินไปตามกฎหมายภาษีและการใช้จ่ายในปัจจุบัน การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐจะเข้าใกล้ระดับยุคโควิดภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดยจะแตะระดับ 2.13 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2030 เนื่องจากดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายด้านการดูสุขภาพประชาชน และเงินบำนาญล้วนสูงขึ้น