
ธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ ประมาณการเศรษฐกิจโลกปีนี้โต 2.6% เตือนในช่วงปี 2024-2026 เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วโลกจะโตต่ำกว่าก่อนโควิด ขณะที่ดอกเบี้ยทั่วโลกจะสูงเป็น 2 เท่าของช่วงก่อนโควิด แนะเพิ่มการลงทุนภาครัฐหนุนเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2024 ธนาคารโลก (World Bank) เผยแพร่คาดการณ์เศรษฐกิจโลกฉบับปรับปรุงใหม่ โดยประมาณการว่าเศรษฐกิจโลกปี 2024 นี้จะเติบโต 2.6% ปรับเพิ่มขึ้นกว่าประมาณการครั้งก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมกราคมที่คาดว่าจะโต 2.4% ถึงอย่างนั้นก็ตาม อัตราการเติบโต 2.6% นั้นเป็นอัตราที่ทรงตัวเท่ากับปี 2023 ส่วนในปี 2025-2026 เศรษฐกิจโลกจะโตเฉลี่ย 2.7% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3.1% ในช่วงทศวรรษก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 มาก
ตัวเลขคาดการณ์บอกเป็นนัยว่าในช่วงปี 2024-2026 เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ที่รวมกันเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของประชากรโลกและจีดีพีโลก จะยังคงเติบโตช้ากว่าอัตราที่เคยเติบโตในทศวรรษก่อนเกิดโควิด-19
ภาพโดยรวมของประเทศกำลังพัฒนา คาดว่าจะเติบโตโดยเฉลี่ย 4% ในช่วงปี 2024-2025 ซึ่งช้ากว่าปี 2023 เล็กน้อย
ส่วนกลุ่มประเทศรายได้น้อยคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะเร่งตัวขึ้นเป็น 5% ในปี 2024 จากที่โต 3.8% ในปี 2023 อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ครั้งนี้มีการปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ 3 ใน 4 ของประเทศที่มีรายได้น้อยทั้งหมดลงจากประมาณการครั้งก่อนหน้านี้
ส่วนในประเทศที่พัฒนาแล้ว คาดว่าการเติบโตจะคงที่อยู่ที่ 1.5% ในปี 2024 ก่อนที่จะโต 1.7% ในปี 2025
เวิลด์แบงก์ชี้ว่า ในปีนี้คาดว่า 1 ใน 4 ของประเทศกำลังพัฒนาจะยังคงยากจนกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดในปี 2019 และสัดส่วนนี้จะสูงเป็น 2 เท่า (2 ใน 4) สำหรับกลุ่มประเทศที่อยู่ในสถานการณ์เปราะบางและได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง
นอกจากนี้ ช่องว่างทางรายได้ระหว่างประเทศกำลังพัฒนากับประเทศพัฒนาแล้วในช่วงปี 2020-2024 คาดว่าจะถ่างกว้างขึ้นในเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหมด ซึ่งสัดส่วนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1990 ส่วนรายได้ต่อหัวในประเทศเหล่านี้คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3.0% ไปจนถึงปี 2026 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3.8% ในทศวรรษก่อนโควิด-19 มาก
“4 ปีหลังจากความวุ่นวายที่เกิดจากโรคระบาด ความขัดแย้ง อัตราเงินเฟ้อ และภาวะการเงินตึงตัว ดูเหมือนว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกจะทรงตัว” อินเดอร์มิต กิลล์ (Indermit Gill) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และรองประธานอาวุโสของกลุ่มธนาคารโลกกล่าว
กิลล์กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าก่อนปี 2020 แนวโน้มของบรรดาประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกน่าห่วงมากยิ่งขึ้น เพราะต้องเผชิญกับภาระหนี้ระดับสูง โอกาสทางการค้าที่จำกัด และต่าใช้จ่ายด้านสภาพอากาศที่สูง
“ประเทศกำลังพัฒนาจะต้องหาวิธีส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน ลดหนี้สาธารณะ และปรับปรุงการศึกษา สุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศที่ยากจนที่สุดในหมู่ประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะ 75 ประเทศที่มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือแบบผ่อนปรน จากสมาคมการพัฒนาระหว่างประเทศ (IDA) จะไม่สามารถทำเช่นนี้ได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และรองประธานอาวุโสของกลุ่มธนาคารโลกกล่าว
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก เวิลด์แบงก์คาดว่าจะอยู่ในระดับปานกลางที่ 3.5% ในปี 2024 และ 2.9% ในปี 2025 แต่อัตราการลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี ส่งผลให้ธนาคารกลางหลายแห่งยังคงระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงตามมาตรฐานของทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยประมาณ 4% ในช่วงปี 2025-2026 หรือประมาณ 2 เท่าของค่าเฉลี่ยในปี 2020-2019
อายแฮน โคเซ (Ayhan Kose) รองหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกและผู้อำนวยการ พรอสเพ็กต์ส กรุ๊ป (Prospects Group) ซึ่งเป็นหน่วยพยากรณ์เศรษฐกิจและจัดทำรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจของเวิลด์แบงก์กล่าวว่า แม้ว่าราคาอาหารและพลังงานทั่วโลกจะอยู่ระดับปานกลาง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงค่อนข้างสูง และอาจคงสูงอยู่อย่างนั้นต่อไป ซึ่งนั่นอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางของประเทศพัฒนาแล้วรายใหญ่ ๆ ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย
“สภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงเป็นเวลานาน จะหมายถึงภาวะทางการเงินทั่วโลกที่เข้มงวดมากขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงมากในประเทศกำลังพัฒนา”
รายงานของธนาคารโลกบอกด้วยว่า การลงทุนภาครัฐนั้นอาจเป็นกลไกขับเคลื่อนนโยบายที่ทรงพลังได้ และจะสามารถเร่งการลงทุนภาคเอกชนและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ แต่นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก (วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์) การเติบโตของการลงทุนภาครัฐในประเทศกำลังพัฒนาลดลงครึ่งหนึ่ง โดยลดลงเหลืออัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปีในทศวรรษที่ผ่านมา
ดังนั้น เวิลด์แบงก์จึงแนะให้ใช้การลงทุนภาครัฐเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยชี้ตัวเลขให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า สำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่มีพื้นที่ทางการคลังกว้างเพียงพอและแนวทางการใช้จ่ายของรัฐบาลมีประสิทธิภาพ การเพิ่มการลงทุนภาครัฐ 1% ของจีดีพีจะช่วยเพิ่มระดับผลผลิตได้สูงสุดถึง 1.6% ในระยะกลาง