เบื้องลึก “อีลอน มัสก์” ทำโพลขายหุ้นเทสลาในทวิตเตอร์ จนหุ้นร่วง

เบื้องลึกอีลอนมัสก์ทำโพลในทวิตเตอร์
Patrick Pleul/Pool via Reuters/File Photo

“อีลอน มัสก์” สร้างความฮือฮาในโลกออนไลน์ด้วยการทำโพลสำรวจความเห็นทางทวิตเตอร์ว่า เขาควรจะขายหุ้น 10% ในเทสลาหรือไม่ ? เรื่องนี้มีเบื้องลึกมากกว่าการตอบโต้วุฒิสมาชิกสหรัฐ ที่เรียกร้องให้เก็บภาษีจากมหาเศรษฐี 

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 สื่อต่างประเทศรายงานว่า อีลอน มัสก์ ซึ่งมีผู้ติดตามบนทวิตเตอร์เกือบ 63 ล้านบัญชี ได้ทำโพลสำรวจความเห็นชาวทวิตเตอร์เมื่อวันเสาร์ว่า เขาควรขายหุ้น 10% ของบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า “เทสลา” หรือไม่ ? โดยอ้างว่าเป็นทางเดียวที่เขาจะสามารถจ่ายภาษีได้ เพราะตัวเองไม่ได้รับเงินเดือนจากบริษัท

การทำโพลผ่านทวิตเตอร์ของซีอีโอเทสลาครั้งนี้ สื่อต่างประเทศบางสำนักมองว่าเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อตอบโต้ “รอน ไวเดน” วุฒิสมาชิกสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเก็บภาษีจากกำไรที่ได้จากการขายหุ้นและสินทรัพย์อื่น ๆ ของมหาเศรษฐี

ชาวทวิตเตอร์ที่เข้ามาตอบโพลของมัสก์ ส่วนใหญ่สนับสนุนให้เขาขายหุ้นเทสลา แม้ว่าไวเดน ซึ่งควบตำแหน่งประธานคณะกรรมการการเงินของวุฒิสภาสหรัฐด้วย จะทวีตข้อความบอกมัสก์ว่า การโหวตทางทวิตเตอร์เป็นวิธีที่ไม่เหมาะสมในการแก้ปัญหา

“คนที่รวยที่สุดในโลกจะจ่ายภาษีหรือไม่ก็ตาม ไม่ควรขึ้นอยู่กับผลสำรวจทางทวิตเตอร์ ถึงเวลาแล้วที่ต้องเก็บภาษีเงินได้จากมหาเศรษฐี”

มัสก์ซึ่งอาจไม่พอใจผลโพลทางทวิตเตอร์ ซึ่ง 57.9% แนะว่าเขาควรขายหุ้นเทสลา ตอบกลับไวเดนว่า ทำไมรูปโปรไฟล์ของคุณจึงดูเหมือนคุณเพิ่งถึงจุดสุดยอดทางเพศ ?” (come เป็นสแลง หมายถึง จุดสุดยอดในการร่วมเพศ)

ข้อเสนอของไวเดน

ก่อนหน้านี้ไวเดนเสนอให้เก็บภาษีจากการขายหุ้นและสินทรัพย์อื่น ๆ ที่สามารถซื้อขายได้จากเหล่ามหาเศรษฐี เพื่อนำเงินภาษีไปใช้สนับสนุนวาระการใช้จ่ายทางสังคมของประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” และเพื่ออุดช่องโหว่จากการอนุญาตให้มหาเศรษฐีเหล่านี้สามารถผัดผ่อนการเสียภาษีที่ได้จากกำไรในการขายสินทรัพย์โดยไม่มีกำหนด

มัสก์ วิจารณ์ข้อเสนอนี้ว่า “เมื่อพวกเขาใช้เงินของคนอื่นหมด สุดท้ายแล้วพวกเขาก็พุ่งมาหาคุณ”

ปัจจุบันมัสก์ ถือหุ้น 23% ในเทสลา ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก และมูลค่าตามราคาตลาดเพิ่งทะลุ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 33 ล้านล้านบาท เมื่อไม่นานมานี้ นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของบริษัทมูลค่าสูงอีกหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ “สเปซเอ็กซ์”

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา น้องชายของเขาคือ “คิมบาล มัสก์” ได้ขายหุ้นเทสลาจำนวน 88,500 หุ้น กลายเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารคนล่าสุดของเทสลาที่เทขายหุ้นจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

หุ้นเทสลาร่วง

มีการประเมินว่า หากมัสก์ขายหุ้น 10% จาก 170.5 ล้านหุ้นในเทสลา เขาจะได้เงินจากการขายหุ้นประมาณ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 692,000 ล้านบาท

เขาทวีตข้อความหลังปิดโพลในทวิตเตอร์ว่า “ผมพร้อมที่จะรับผลลัพธ์ทั้งสองอย่าง”

ปรากฏว่าหุ้นเทสลาราคาลดลง 4.5% มาอยู่ที่ 1,167.52 เหรียญสหรัฐ หรือราว 38,473.87 บาท ในการซื้อขายล่วงหน้าเมื่อวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น

“รัสส์ โมลด์” นักวิเคราะห์จากเอเจ เบลล์ กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า โพลทางทวิตเตอร์ส่งสัญญาณอย่างมีประสิทธิภาพว่า มัสก์กำลังเทขายหุ้นในตลาด ในทางเทคนิคเรียกว่า ส่วนเกินของตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะกดให้ราคาหุ้นต่ำลง

“เขารวยมากจนไม่ได้สนใจเลยว่า การกระทำของตัวเองจะส่งผลต่อราคาหุ้นเทสลาหรือไม่” โมลด์กล่าวและว่า “อย่างไรก็ตาม เขายังมีหน้าที่ต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นด้วย ซึ่งเขาไม่ได้ทำในสถานการณ์นี้เนื่องจากเหตุการณ์นี้ได้ทำให้การประเมินมูลค่าของบริษัทไม่เสถียร”

แต่นักวิเคราะห์รายนี้ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ราคาหุ้นเทสลาอาจไม่ลดลงมากอย่างที่ใคร ๆ คาดไว้ นั่นอาจเป็นเพราะนักลงทุนกำลังรอฟังความเห็นจากมัสก์ แม้จะเป็นการฟังแบบฟังหูไว้หูก็ตาม

ดีมานด์หุ้นเทสลายังสูง

โดยทั่วไปแล้วการเทขายหุ้นของคนวงในมักถูกมองเป็นสัญญาณเชิงลบ แต่การขายหุ้นในเทสลา 10% ของมัสก์ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อเทสลามากนักในมุมมองของ “แดน อีฟส์” นักวิเคราะห์จากเวดบุช ซีเคียวริตี้ ซึ่งกล่าวว่า

ดีมานด์หุ้นเทสลายังคงสูงอยู่ ทั้งในหมู่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย นอกจากนี้ ขั้นตอนแหกคอกด้วยการทำโพลทางทวิตเตอร์ ซึ่งพอจะลวงแฟน ๆ และนักลงทุนได้ ยังช่วยลดความกังวลอื่น ๆ ด้วย

“การขายหุ้น 10% น่าจะเพิ่มราคาหุ้นได้ประมาณ 1.5-2% ซึ่งไม่ได้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ” อีฟส์กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ และว่า “ผมเชื่อว่าการที่มัสก์ทำเช่นนั้นจะช่วยลดกระแสและช่วยเรื่องการรับรู้”

หุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 73% ในปีนี้ อยู่ที่ 1,222.09 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 40,272.14 บาท ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน ขณะที่มูลค่าตลาดของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 40 ล้านล้านบาท โดยจำนวนหุ้นทั้งหมดที่เป็นของมัสก์ ซึ่งเป็นซีอีโอและผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของบริษัท อาจเทียบเท่า 80% ของปริมาณการซื้อขายในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

“การตัดสินใจขายหุ้น 10% ในเทสลา อาจทำให้นักลงทุนบางคนประหลาดใจ แต่ในที่สุดมันก็เป็นตัวเลขที่เข้าใจได้ ซึ่งเราไม่ได้กังวลมากเกินไป เราอยากให้มัสก์ขายหุ้นส่วนนี้ด้วยซ้ำ แทนที่จะรีรอจนถึงปีหน้า แล้วราคาหุ้นตกลง” อีฟส์กล่าว

ภาษีที่มัสก์ต้องจ่าย

มัสก์ย้ายไปอยู่รัฐเทกซัส ซึ่งเป็นรัฐที่ไม่มีการเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเมื่อช่วงปลายปี 2563 แต่ในขณะที่มูลค่าตลาดของเทสลาทะยานสูงขึ้น และความมั่งคั่งของเขาก็พุ่งตามไปในทิศทางเดียวกัน มัสก์ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะทำให้เขาอ่อนไหวเช่นกัน

มัสก์เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่ถูกองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ProPublica อ้างถึงในรายงานว่าด้วยวิธีการที่มหาเศรษฐีใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี และเขาได้ตกเป็นเป้าของสมาชิกสภาคองเกรส ที่กำลังผลักดันให้มีการเรียกเก็บภาษีจากมหาเศรษฐี

ก่อนหน้านี้มัสก์ระบุว่า เขามีแนวโน้มจะขายหุ้นขนาดใหญ่ของเขาในไตรมาส 4

เมื่อเดือนกันยายน มัสก์กล่าวในการประชุมโค้ด คอนเฟอเรนซ์ ที่เมืองเบเวอร์ลีฮิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ว่า อัตราภาษีส่วนเพิ่มของเขาจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% เมื่อออปชั่นที่เขามีมากมายกำลังจะหมดอายุในเดือนสิงหาคมปีหน้า เขาจึงต้องขายออปชั่นเหล่านี้ในไตรมาส 4 ก่อนที่มันจะหมดอายุ

ประกอบกับเขาจำเป็นต้องจ่ายภาษีเป็นเงินมหาศาลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ภาษีก้อนนี้มาจากการเก็บภาษีจากออปชั่นที่ระดับสูงสุด 37% รวมภาษีลงทุนสุทธิ 3.8% ขณะเดียวกันเขายังต้องจ่ายอัตราภาษีสูงสุด 13.3% ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เนื่องจากออปชั่นส่วนใหญ่นั้นเขาได้รับขณะที่มีถิ่นฐานในรัฐแคลิฟอร์เนีย

เมื่อรวมทั้งภาษีของรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐบาลกลาง ซึ่งจะอยู่ที่ 54.1% ทำให้ภาษีจากออปชั่นที่ถูกเรียกเก็บ ณ ราคาปัจจุบัน รวมอยู่ที่ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 494,000 ล้านบาท

มัสก์ซึ่งเป็นทั้งซีอีโอสเปซเอ็กซ์และนิวรัลลิงก์ ยังไม่ยืนยันว่าต้องจ่ายภาษีเป็นเงินเท่าใดกันแน่ แต่เขาเคยทวีตข้อความว่า ผมไม่ได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดหรือโบนัสจากทุกบริษัท ผมมีแต่หุ้นเท่านั้น ดังนั้นทางเดียวที่ผมจะจ่ายภาษีได้คือการขายหุ้น

มัสก์ไม่มีทางเลือกนอกจากขายหุ้น ?

ระหว่างเส้นทางสู่การเป็นมหาเศรษฐีของมัสก์ เขาได้สร้างเศรษฐีหน้าใหม่อีกหลายคน หนึ่งในนั้นคือ “ลีโอ โกกวน” นักลงทุนรายย่อยและเจ้าของธุรกิจที่ใช้ความมั่งคั่งที่มีอยู่แล้วสะสมหุ้นของเทสลาเป็นมูลค่ามากกว่า 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 230,674 ล้านบาท

โกกวนซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ติดตามมัสก์ทางทวิตเตอร์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ถึงเวลาแล้วที่มัสก์จะนำเงินบางส่วนออกจากเทสลา แม้เพียงเพื่อใช้ในกิจการอื่น ๆ ของมัสก์ เช่น การสำรวจอวกาศ และโครงข่ายประสาทเทียม

“ในทางการเมืองและมุมมองด้านภาษี และเนื่องจากอีลอนขัดสนในเรื่องเงินสด เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการขายหุ้นของตัวเองเพื่อจ่ายภาษี และเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นคนที่รวยด้วยเงินสด” โกกวนโพสต์ข้อความนี้เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน