ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสเตือน หากยุโรปเดินตามสหรัฐแบนก๊าซรัสเซีย เท่ากับทำ “ฮาราคีรี” ต่อเศรษฐกิจตัวเอง
วันที่ 22 เมษายน 2565 สำนักข่าวทาสส์ สื่อทางการรัสเซีย รายงานว่า นางมารี เลอแปน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้กล่าวระหว่างการหาเสียงในโค้งสุดท้าย ก่อนวันชี้ชะตาลงคะแนนเลือกตั้งฝรั่งเศสรอบ 2 ในวันที่ 24 เมษายนนี้ โดยนางเลอแปน จากพรรครณรงค์แห่งชาติ (Rassemblement national) ผู้ท้าชิงประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
โดยในการปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้ายนางเลอแปน กล่าวแสดงความเห็นว่า การที่กลุ่มสหภาพยุโรปเดินตามแนวทางของสหรัฐที่สกัดกั้นการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย นั่นไม่ต่างกับการทำ “ฮาราคีรี” สำหรับยุโรปเอง แต่จะไม่ส่งผลอะไรกับรัสเซีย เนื่องจากรัสเซียยังมีตลาดนอกเหนือยุโรปอีกมากที่สามารถส่งออกพลังงานได้
“การคว่ำบาตรเพียงอย่างเดียวที่ฉันไม่เห็นด้วยคือการปิดกั้นการนำเข้าน้ำมันและก๊าซของรัสเซีย ทำไมฉันจึงไม่เห็นด้วย เพราะในความเป็นจริงแล้ว การคว่ำบาตรนี้ไม่อาจทำอันตรายใดต่อรัสเซียได้ และจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชนของเรา” เธออธิบาย
“เราไม่สามารถทำฮาราคีรีด้วยความหวังว่าจะทำร้ายเศรษฐกิจรัสเซีย” เลอแปนกล่าวระหว่างดีเบตรอบสุดท้ายทางโทรทัศน์กับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ซึ่งภายหลังการดีเบตดังกล่าว ผลสำรวจของ BFM TV พบว่า ผู้ชมการถ่ายทอดสดจำนวน 59% ให้ประธานาธิบดีมาครงเป็นฝ่ายชนะการดีเบต มีคะแนนนำนางเลอแปนเพียงไม่จุด
สำหรับคำว่า “ฮาราคีรี” (Hara-kiri) ที่นางเลอแปนหมายถึงคือ กระการทำฆ่าตัวตายในยุคของซามูไรในญี่ปุ่น
สำหรับนางเลอแปนเคยแสดงความเห็นสนับสนุนประธานาธิบดีปูตินในหลายครั้งหลายครา กระทั่งเกิดเหตุการณ์รัสเซียบุกยูเครน เธอประณามสงครามในยูเครนอย่างรุนแรง แต่ก็มิวายกล่าวว่า รัสเซียอาจกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของฝรั่งเศสอีกครั้ง ขณะที่เธอได้ใช้ผลกระทบจากสงคราม โดยเฉพาะราคาสินค้าหลายชนิดที่ปรับตัวสูงขึ้น หาเสียงโจมตีรัฐบาลมาครงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ต่างเป็นกังวลกับการที่หากนางเลอแปนชนะการเลือกตั้งเป็นผู้นำหญิงคนแรกของฝรั่งเศส เนื่องจากเธอมีจุดยืนขวาจัดและนโยบายหลายอย่างที่สวนทางท่าทีของสหภาพยุโรปและนาโต้ ท่ามกลางวิกฤตที่ทั้งอียูและนาโต้กำลังเผชิญในขณะนี้