ยูเครน รัสเซีย เซ็นข้อตกลงส่งออกธัญพืช สัญญาณแห่งความหวัง และสิ่งที่ควรรู้

รัสเซีย ยูเครน
พิธีลงนามระหว่างรัสเซีย ยูเครน โดยมีสหประชาชาติ และตุรเคีย เป็นพยาน จัดขึ้นที่ อิสตันบูล ประเทศตุรเคีย 22 ก.ค. 2565 (ภาพจาก REUTERS/Umit Bektas)

รัสเซีย ยูเครน ลงนามข้อตกลงส่งออกธัญพืช ผ่านทะเลดำสำเร็จ มีระยะเวลาเปิดทางขนส่ง 120 วัน เลขาธิการสหประชาชาติชี้ เป็นสัญญาณแห่งความหวัง

วันที่ 23 กรกฎาคม 2565 อัลจาซีรา รายงานว่า รัสเซียและยูเครนได้ลงนามในข้อตกลงครั้งสำคัญ โดยมีเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ผู้นำรัฐบาลตุรเคียช่วยดำเนินการ ในเรื่องเกี่ยวกับการจัดส่งธัญพืช ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามบรรเทาวิกฤตการณ์อาหารทั่วโลกที่คนนับล้านต้องเผชิญกับความอดอยาก

เซอร์เก ซอยกู รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม รัสเซีย และโอเลกซานดีร์ คูบราคอฟ รัฐมนตรีกระทรวงโครงสร้างพื้นฐาน ยูเครน ต่างลงนามในข้อตกลงที่แยกจากกัน แต่มีข้อความเหมือนกัน และเป็นการลงนามร่วมกับยูเอ็นและเจ้าหน้าที่ของตุรเคีย เพื่อเปิดเส้นทางขนส่งผ่านทะเลดำ

เจ้าหน้าที่ของยูเครน กล่าวว่า พวกเขาไม่ต้องการใส่ชื่อของพวกเขาในเอกสารเดียวกับรัสเซีย เนื่องจากสงคราม 5 เดือนที่ผ่านมา คร่าชีวิตผู้คนไปหลายพันและทำให้ชาวยูเครนหลายล้านคนต้องพลัดถิ่น

รัสเซีย ยูเครน ข้อตลกงส่งออกธัญพืช ผ่านทะเลดำ
รัฐมนตรีกลาโหม รัสเซีย, เลขาธิการสหประชาชาติ, ประธานาธิบดีตุรเคีย และ รมว.กลาโหม ตุรเคีย ร่วมในพิธีลงนามข้อตกลงเมื่อ 22 ก.ค. 2565 ที่อิสตันบูล (/Handout via REUTERS )

วัตถุประสงค์ของข้อตกลงคืออะไร?

การรุกรานยูเครนของรัสเซียตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นำไปสู่การปิดล้อมทะเลดำโดยพฤตินัย ส่งผลให้การส่งออกของยูเครนลดลงเหลือ 1 ใน 6 เมื่อเทียบกับก่อนสงคราม

ทั้ง ๆ ที่ยูเครนและรัสเซียเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่ที่สุดของโลก และผลของการปิดล้อมได้ทำให้ราคาธัญพืชในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก

ข้อตกลงนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อหลีกเลี่ยงความอดอยาก โดยส่งออกข้าวสาลี น้ำมันดอกทานตะวัน ปุ๋ย และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เข้าสู่ตลาดโลก เป็นเป้าหมายด้านมนุษยธรรม เพื่อให้ยูเครนสามารถส่งออกธัญพืชได้ 5 ล้านตันต่อเดือน ซึ่งเป็นเป้าหมายการส่งออกในระดับที่มีอยู่แล้ว ก่อนเกิดสงคราม

โครงการอาหารโลกขององค์การสหประชาชาติเปิดเผยข้อมูลว่า ขณะนี้มีประชากรโลกราว 47 ล้านคนกำลังอยู่ในขั้น “ความหิวโหยเฉียบพลัน” อันเนื่องมาจากผลกระทบของสงคราม และผู้เชี่ยวชาญได้เตือนมานานแล้วถึงวิกฤตอาหารโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น หากการส่งออกธัญพืชของยูเครนยังคงถูกสกัดกั้น

อีกทั้ง ยูเครนจำเป็นต้องระบายสต็อกธัญพืช ก่อนการเก็บเกี่ยวรอบใหม่จะมาถึง ส่วนปุ๋ยที่ส่งออกมากขึ้นจะช่วยหลีกเลี่ยงการลดลงของสินค้าเกษตรทั่วโลกสำหรับการเพาะปลูกรอบใหม่

ในข้อตกลงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา รัสเซียและสหประชาชาติยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจซึ่งให้คำมั่นสัญญาเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาดทั่วโลกสำหรับปุ๋ยและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของรัสเซีย โดยปราศจากอุปสรรคด้วย

ยูเครน รัสเซีย ส่งออกธัญพืช
ประธานาธิบดีตุรเคีย, รมว.กลาโหม ตุรเคีย, เลขาธิการยูเอ็น และ รมว.โครงสร้างพื้นฐาน ยูเครน ในพิธีลงนามข้อตกลงส่งออกธัญพืช ผ่านทะเลดำ (ภาพจาก Handout via REUTERS)

การส่งออกธัญพืชจะกลับมาเมื่อไหร่?

ตามรายงานของรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย ระบุว่า การส่งออกธัญพืชสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ใน “อีกไม่กี่วันข้างหน้า”

เจมส์ เบย์ส บรรณาธิการข่าวกิจการต่างประเทศของอัลจาซีรา รายงานจากสำนักงานใหญ่ของยูเอ็น ว่าอาจใช้เวลา “2-3 สัปดาห์” กว่าการจัดส่งธัญพืชครั้งแรกออกจากยูเครนจะเกิดขึ้น

“จะมีการทดสอบการใช้งานในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า” เบย์สกล่าว โดยสังเกตจากยอดคงค้างธัญพืชในยูเครนที่มีอยู้หลายล้านตันในประเทศ จึงคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 4 เดือนระบายสต็อก”

ทั้งนี้ ข้อตกลงนี้ มีอายุ 4 เดือน หรือ 120 วัน และจะต่ออายุโดยอัตโนมัติ เว้นแต่สงครามจะยุติลง

ส่งออกผ่านท่าเรือใดบ้าง

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเปิดทางสู่การส่งออกอาหารเชิงพาณิชย์จากท่าเรือสำคัญของยูเครน 3 แห่ง ได้แก่ โอเดสซา เชอร์โนมอร์สค์ และยูจนี

เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติบอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ข้อตกลงดังกล่าว ได้รวมถึงการหยุดยิงโดยพฤตินัย เพื่อปกป้องเรือที่ผ่านท่าเรือเหล่านี้ พร้อมกับการอำนวยความสะดวกที่ครอบคลุมต่าง ๆ

ข้อตกลงจะดำเนินการอย่างไร?

เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า หลังจากนี้จะมีศูนย์ควบคุมร่วม (JCC) ในอิสตันบูล ตุรเคีย ซึ่งจะกำหนดเวลาและตรวจสอบการจัดส่ง

ตามรายงานของเจ้าหน้าที่สหประชาชาติคนหนึ่ง JCC จะมีเจ้าหน้าที่จากสหประชาชาติและอาจเป็นเจ้าหน้าที่ทหารจาก 3 ประเทศที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รัสเซีย ยูเครน และ ตุรเคีย

แม้ว่ายูเครนจะทำเหมืองในน่านน้ำใกล้ท่าเรือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันสงคราม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทุ่นระเบิดอีกต่อไป ในทางกลับกัน นักบินชาวยูเครนจะนำทางเรือไปตามช่องทางที่ปลอดภัยในน่านน้ำอาณาเขตของตน โดยมีเรือกวาดทุ่นระเบิดพร้อมใช้ตามความจำเป็น แต่ไม่มีทหารคุ้มกัน

หลังจากตรวจสอบโดย JCC แล้ว เรือเหล่านั้นจะผ่านทะเลดำไปยังช่องแคบบอสฟอรัสของตุรเคียและออกสู่ตลาดโลก

เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ระบุว่า ทุกฝ่ายตกลงกันว่าจะไม่มีการจู่โจมหน่วยงานเหล่านี้ หากพบกิจกรรมต้องห้าม จะเป็นหน้าที่ของ JCC ที่จะ “แก้ไข”

อีกทั้ง เพื่อลดความกังวลของรัสเซียเกี่ยวกับเรือที่ส่งอาวุธไปยังยูเครนว่าจะใช้ช่องทางตามข้อตกลงนี้หรือไม่ จึงได้ตกลงกันว่า เรือที่กลับมาจากการขนส่งธัญพืชทั้งหมดจะได้รับการตรวจสอบที่ท่าเรือตุรเคียโดยทีมที่มีตัวแทนจากทุกฝ่ายและดูแลโดย JCC โดยทีมงานจะขึ้นเรือและประเมินสิ่งที่บรรทุกในเรือ ก่อนจะออกจากท่ากลับไปที่ยูเครน

เอพี รายงานว่า ปีเตอร์ เมเยอร์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เมล็ดพืชและเมล็ดพืชน้ำมัน ของ เอส แอนด์ พี โกลบอล แพลตส์ กล่าวว่าข้อตกลงนี้ไม่ได้ “หมายความว่าวิกฤตอุปทานทั่วโลกสิ้นสุดลง”

เหล่าเทรดเดอร์ยังคาดการณ์ว่า ผลกระทบของข้อตกลงดังกล่าวอาจปรากฏขึ้นแล้วในราคาธัญพืช และข้อตกลงนี้ครอบคลุมเฉพาะพืชผลในปี 2564 เท่านั้น ยังมีความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับการผลิตของยูเครนในปีนี้และปีหน้าอีกด้วย

ก่อนข้อตกลงดังกล่าว เจ้าหน้าที่ของรัสเซียและยูเครนโทษซึ่งกันและกันว่าเป็นฝ่านสกัดการขนส่งธัญพืช โดยรัสเซียกล่าวหายูเครนว่าล้มเหลวในการขนย้ายทุ่นระเบิดในทะเลที่ท่าเรือ และยืนกรานที่จะตรวจสอบอาวุธของเรือที่เข้ามา พร้อมยกเลิกข้อจำกัดในการส่งออกธัญพืชและปุ๋ยของรัสเซีย

ฟากยูเครนแย้งว่าการปิดล้อมท่าเรือของรัสเซียและการยิงขีปนาวุธจากทะเลดำทำให้การขนส่งทางทะเลที่ปลอดภัยเป็นไปไม่ได้ พวกเขาต้องการการรับรองจากนานาชาติว่ารัสเซียจะไม่ใช้ทางเดินที่ปลอดภัยเพื่อโจมตีโอเดสซาและกล่าวหาว่ารัสเซียขโมยธัญพืชจากยูเครนตะวันออกและจงใจทำให้แหล่งเพาะปลูกในยูเครนไฟไหม้

โวโลดีมีร์ ซิเดนโก ผู้เชี่ยวชาญของ Razumkov Center ที่ตั้งอยู่ในเคียฟ กล่าวว่า ยูเครนไม่ได้หยิบยกประเด็นเรื่องการถูกขโมยธัญพืชขึ้นมาพูดในการเจรจาล่าสุดนี้

“มันเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง ที่ยูเครนจะไม่หยิบยกประเด็นเรื่องเมล็ดพืชที่ถูกขโมยมาและมอสโกก็ไม่ยืนกรานที่จะตรวจสอบเรือของยูเครน และมอสโกถูกบังคับให้ทำข้อตกลงอย่างประนีประนอม” เขากล่าว

นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อตกลงดังกล่าวมีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียด้วย

“รัสเซียตัดสินใจที่จะไม่จุดไฟให้เกิดวิกฤตใหม่ในแอฟริกาและกระตุ้นความหิวโหยและการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลที่นั่น” เพราะ “สหภาพแอฟริกาได้ขอให้ปูตินบรรเทาวิกฤตอย่างรวดเร็วด้วยเสบียงธัญพืช” ซิเดนโก กล่าว