สุชัชวีร์ : เปลี่ยนกรุงเทพฯให้ทันสมัย เตรียมตัวเป็นผู้ว่าฯมา 30 ปี

สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์

สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ โชว์วิสัยทัศน์ชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ในนามประชาธิปัตย์ ประกาศพลิกโฉมกรุงเทพฯให้ทันสมัย อินเทอร์เน็ตฟรี สร้างงาน สร้างโอกาส ผุดเลนจักรยานลอยฟ้าแก้รถติด ใช้ AI คุมไฟจราจร นักเรียน กทม.ต้องรู้โค้ดดิ้ง เรียน 2 ภาษา ผนึกจังหวัดปริมณฑลแก้น้ำท่วม ใช้โมเดลแบบโตเกียว ฮอลแลนด์ และเวนิส

วันที่ 13 ธันวาคม 2564 ที่อาคารสามย่านมิตรทาวน์ พรรคประชาธิปัตย์จัดงานเปิดตัวนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ ในฐานะผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีแกนนำคนสำคัญของพรรคมาร่วมงานจำนวนมาก อาทิ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค เป็นต้น

ทั้งนี้ นายสุชัชวีร์แสดงวิสัยทัศน์ว่า คนไทย คนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิดมาเราก็เห็นฝนตก น้ำก็ยังต้องท่วมรอระบาย รถก็ยังติด คนกรุงเทพฯคิดว่าฝุ่น PM 2.5 เกิดขึ้นเฉพาะฤดูหนาว หรือคนกรุงเทพฯคิดว่าเศรษฐกิจของเมืองทำได้แค่นี้ ก็ล้าหลังแบบนี้

หรือ ไม่ได้คิดว่าการศึกษาของลูกหลานวันนี้พังพินาศไปแล้ว อาจไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าจะมีใครมาแก้ปัญหาที่ซ้ำซ้อน ซ้ำซากแบบนี้ได้

เพราะครอบครัวคนกรุงเทพฯ ถูกข่มขืน ถูกรังแก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคุ้นชินไปแล้วว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนกรุงเทพฯ อนาคตของลูกหลานคนกรุงเทพฯได้ แต่ตนเชื่อว่าเราเปลี่ยนอนาคตของลูกหลาน อนาคตของคนกรุงเทพฯได้

ชีวิตไม่ใช้วิธีพิเศษ

นายสุชัชวีร์เล่าว่า ตอนจบ ม.3 สอบได้ที่ 1 ของโรงเรียนประจำจังหวัดระยอง เท่ากับที่ 1 ของจังหวัด ไปสอบโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษากับเพื่อน 7 คน แต่ปรากฏว่าสอบไม่ได้ ลุงซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมฯได้เสนอกับแม่ว่าให้เข้าวิธีพิเศษ

“เป็นที่ยอมรับกันว่าวันนั้นห้องพิเศษเป็นเรื่องปกติ แต่คุณแม่ใจเด็ดตอบลุงว่า ถ้าให้ลูกเริ่มต้นด้วยวิธีพิเศษ ทั้งชีวิตจะต้องใช้วิธีพิเศษอยู่ร่ำไป คุณแม่พาผมกลับบ้านมาเรียน ม.4-ม.6 ที่ระยองวิทยาคม แต่เพื่อนผมอีก 7 คนที่ไปสอบด้วยกันสอบติดหมดทุกคน พ่อแม่ผู้ปกครองต่างจังหวัดเขาอวดลูกแค่ไหน หลาย ๆ ท่านมาจากต่างจังหวัดทราบดี คุณพ่อคุณแม่ผมต้องก้มหน้าทานข้าวครับ อายครับ ผมไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังจนอายุ 30 อายมากครับ”

แต่วิกฤตก็เป็นโอกาสเพราะคู่แข่งของผมอยู่โรงเรียนเตรียมฯหมด ผมสอบได้ที่ 1 ของจังหวัดอีกครั้งหนึ่ง และได้โควตาช้างเผือกมาเรียนที่คณะวิศวะลาดกระบังโดยไม่ต้องสอบเอนทรานซ์

เขาเล่าว่า ชีวิตในมหาวิทยาลัยทำกิจกรรมทุกอย่างยกเว้นเรียนหนังสือ เกรดเฉลี่ยตัวสุดท้ายอธิการบดีเอาวิทยากรที่มีชื่อเสียงมาบรรยาย จึงอยากประสบความสำเร็จเหมือนวิทยากร ซึ่งตนได้ A อยู่คนเดียว ได้เกรดเฉลี่ย 2.01 เป๊ะ รอดจากการถูกรีไทร์ แต่ตราบใดที่เรามีความเชื่อความมุ่งมั่นอะไรก็เกิดได้

จุดเปลี่ยนชีวิต

นายสุชัชวีร์เล่าว่า ตอนไปเรียนหนังสือต้องรอโหนรถเมล์จากสถานีหัวตะเข้ผ่านถนนอ่อนนุช ซึ่งวันนั้นเรียกว่าถนน 7 ชั่วโคตร คิดริเริ่มออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของประเทศ ซึ่งขณะนั้นไม่มีใครคิดว่าทำได้ เพราะดินในกรุงเทพฯเป็นดินอ่อน

“ในที่สุดผมก็สามารถเขียนโปรแกรมออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของกรุงเทพฯได้สำเร็จ เราทำได้ครับ และไม่ได้ทำเล่น ๆ เป็นเกรดตัวสุดท้าย เขาให้ A ได้เกรดเฉลี่ย 3.01 เกียรตินิยมคนสุดท้ายของมหาวิทยาลัย นี่คือชีวิต under dog ชีวิตฉิวเฉียดมาตลอด”

และนำโปรเจ็กต์นี้ไปนำเสนอ ร.อ.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา ผู้ว่าฯกทม.ที่เสาชิงช้า แต่เลขาฯหน้าห้องบอกว่าท่านผู้ว่าฯมีภารกิจเยอะมาก พบไม่ได้

เขาจึงนั่งรอถึงตอนเย็น แต่ก็ไม่ได้พบผู้ว่าฯ แต่เพราะมีความหวังและความเชื่อ ทำอย่างนั้น 2 สัปดาห์ รอจน 2 สัปดาห์ ถึงเข้าพบผู้ว่าฯบนเงื่อนไขว่าต้องพาคณบดีมาด้วย

“ท่านคณบดียอมไปกับผม ไปพบผู้ว่าฯ กทม. คือ รศ.ดร.ประกิจ ตังติสานนท์ ไม่มีอาจารย์ไม่มีวันนี้”

“วินาทีนั้นเป็นวันเปลี่ยนชีวิตผม ผมพูดขึ้นมาทันที…ท่านผู้ว่าฯครับ ประเทศไทย กรุงเทพฯ จำเป็นต้องมีรถไฟฟ้าใต้ดิน ระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ แก้ปัญหาการจราจร ท่านบอกใช่ ใช่”

“ท่านผู้ว่าฯครับ แต่ประเทศไทยยังไม่มีใครจบมาด้านวิศวกรรมอุโมงค์ โดยเฉพาะดินอ่อนอย่างกรุงเทพฯ ผมจึงขออาสาท่านผู้ว่าฯ จะเป็นคนไทยคนแรกที่ไปเรียนเรื่องวิศวกรรมอุโมงค์ เพื่อมาออกแบบและก่อสร้างอุโมงค์ดินอ่อนแบบกรุงเทพฯ”

“ท่านผู้ว่าฯจึงถามว่าไปเรียนที่ไหน จึงตอบว่าไปเรียนที่เดียวกับท่านผู้ว่าฯ คือ MIT (Massachusetts Institute of Technology) ท่านรัก MIT ที่สุด แต่จะไปเรียน MIT เหมือนท่านผู้ว่าฯได้ต้องได้จดหมายรับรองจากท่านผู้ว่าฯ ท่านไม่รู้จักผม ไม่เคยสอนผมมาก่อน แต่เขียนจดหมายรับรองในฐานะผู้ว่าฯ กทม.และศิษย์เก่า MIT”

“ถ้าเกิดพี่น้องประชาชนให้โอกาสผมเป็นผู้ว่าฯ กทม. ผมจะเป็นครูเหมือนท่านผู้ว่าฯ กฤษฎา สนับสนุน ส่งเสริม เด็กไทยทุกคนที่มีความหวัง มีความเชื่อว่าเราทำได้ MIT รับผม ไม่สนใจเกรดเฉลี่ยที่มี แต่ D D C C ไม่สนใจภาษาอังกฤษผมที่สอบไม่ผ่านเสียที สอบ TOEFL 14 ครั้ง MIT รับผมตั้งแต่ TOEFL 530 เท่านั้น แต่เขารับจริง ๆ 600”

จากโนบอดี้สู่ผู้ร่วมสร้างรถไฟใต้ดิน

“ผม มันโนบอดี้ เห็นเกรด เห็นคะแนนภาษาอังกฤษของผมก็รู้นะครับว่า ผมมันโนบอดี้จริง ๆ แต่ผมมี Passion มีความมุ่งมั่น ขอโอกาส ไปเรียนที่ MIT ผมสัญญาว่า ผมจะนำความรู้ในเรื่องการออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน กลับมาสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน สายแรกของกรุงเทพฯ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรของกรุงเทพฯให้ได้”

“และที่สำคัญผมขออาสาเป็น The man who brings back the land of smiles เป็นคนที่นำรอยยิ้มคืนให้กับคนกรุงเทพฯให้ได้ด้วยประโยคนี้เลยครับ Prof. Einstein บอกว่า เชื่อว่าผมทำได้ รับผมเป็นลูกศิษย์ เข้าเรียนปริญญาเอกที่ MIT”

และในที่สุดผมก็ได้กลับมาประเทศไทย มาร่วมสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของประเทศไทย ตามคำสัญญา ผมภูมิใจมากครับ มีชื่อได้จารึกไว้อยู่บนสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพง จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมได้ออกแบบอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินลอดแม่น้ำเจ้าพระยาเส้นแรกได้สำเร็จเช่นกัน

ทำเลนจักรยานลอยฟ้า

ดังนั้น การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การเลือกผู้ว่าฯ แต่เป็นการเลือกอนาคตกรุงเทพฯ อนาคตลูกหลานคนกรุงเทพฯ และคนไทย ให้รู้ไปว่า ถ้าผู้ว่าฯ กทม.เป็นวิศวกรระดับวุฒิจบปริญญาเอกด้านดิน ด้านน้ำ เคยเป็นนายกวิศวกรรมสถานฯ เป็นนายกสภาวิศวกร เป็นวิศวกรดีเด่นอาเซียน เป็นวิศวกรอาสาลงพื้นที่ช่วยคนไทยมาแล้วทั่วประเทศ จะช่วยคน กทม. ไม่ได้

นายสุชัชวีร์กล่าวถึงนโยบายแก้ปัญหาการจราจรว่า ทำไมกรุงโตเกียวที่มีความหนาแน่นของพลเมืองมากกว่ากรุงเทพฯ 3 เท่า มีประชากร 40 ล้านคนมากกว่ากรุงเทพฯ 3-4 เท่า ผลิตรถยนต์ได้เอง รถราคาถูก ทำไมรถไม่ติดเท่ากรุงเทพฯหล่ะครับ แสดงว่า เปลี่ยนกรุงเทพฯให้รถไม่ติดหนักขนาดนี้เราก็ทำได้

หรือกรุงลอนดอนที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้านเท่ากรุงเทพฯ วันนี้คนขี่จักรยานไปทำงานแล้วเราก็ทำได้ครับ หากผมมีโอกาสเป็นผู้ว่าฯกทม. ท่านจะได้เห็นทางจักรยานลอยฟ้าครั้งแรกใน กทม.ให้มันรู้ไป

เปลี่ยนกรุงเทพฯให้ทันสมัย

นอกจากนี้ ตนเคยทำงานให้ธนาคารโลก ศึกษาเศรษฐกิจของเมืองไทย รู้เลยว่าเศรษฐกิจเมืองต้องทันสมัย ไม่เช่นนั้น ไม่มีใครมาลงทุน เขาไปสิงคโปร์ ไปกัวลาลัมเปอร์ หากเศรษฐกิจเมืองยังล้าหลัง เราแข่งขันไม่ได้ ที่จริงคนไทยเก่งไม่แพ้ใครในโลก เราจะเปลี่ยนเศรษฐกิจกรุงเทพให้ทันสมัย สร้างโอกาส สร้างรายได้ สร้างเศรษฐกิจเมืองดิจิทัล

โรงเรียน กทม.ต้องสอนโค้ดดิ้ง – AI

ส่วนนโยบายด้านการศึกษานายสุชัชวีร์กล่าวว่า ไม่มีใครอยากส่งลูกเรียนโรงเรียน กทม. ทั้ง ๆ ที่เรียนฟรี และอยู่หน้าบ้าน ต้องกระเสือกกระสนตื่นตี 4 เสียตังค์ ส่งลูกเรียนข้ามเมือง เพราะไม่เชื่อคุณภาพโรงเรียน กทม.

และครู กทม.น่าเห็นใจที่สุด แทบไม่ได้รับการดูแลเลย ผมเป็นครู พ่อแม่ผมเป็นครู ผมเข้าใจดี มีโอกาสเป็นผู้ว่าฯกทม.เมื่อไหร่จะเปลี่ยนโรงเรียน กทม. พัฒนาครู ให้คนแย่งกันเข้าเรียนโรงเรียน กทม.ให้ได้ ให้มันรู้กันไป
“ผมตั้งใจให้กทม.มีโรงเรียนสาธิตทุกเขต ให้เด็กเรียน 2 ภาษา รู้โค้ดดิ้ง รู้ AI รู้ควอนตัม ผมทำมาแล้ว ผมขออาสา สัญญาจะดูแลลูกหลานคนกรุงเทพทุกคน เหมือนลูกผม จะเป็น ผู้ว่า การศึกษา กทม. คนแรก” ”

ยกกรุงเทพฯเป็นเมืองสวัสดิการ

นายสุชัชวีร์กล่าวว่า เราต้องเปลี่ยนกรุงเทพฯเป็นเมืองสวัสดิการที่ดูแลพลเมืองทุกคนอย่างมีคุณภาพ ย้ำนะครับอย่างมีคุณภาพ ทั้งการจัดการสาธารณูปโภคพื้นฐาน การขนส่งมวลชน ถนน ฟุตปาท ทั้งการจัดการศึกษาฟรี ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ และการดูแลรักษาพยาบาลตั้งแต่ตั้งครรภ์ถึงสูงอายุ ย้ำอีกครั้งนะครับอย่างมีคุณภาพ

การเข้าถึงสินค้าอาหารการกินได้ง่ายในราคาถูกและปลอดภัย เป็นเมืองที่สร้างโอกาสในการเรียนรู้ ทำมาหากินได้ดี เดินทางสะดวกเข้าถึงทุกพื้นที่ ทุกคนเท่าเทียม มีสวนสาธารณะขนาดย่อมทั่วกรุงเทพฯ คนเดินได้ สัตว์เลี้ยงเดินดี ใกล้บ้านและที่สำคัญคือ กรุงเทพฯต้องใช้กฎหมายเท่าเทียม เข้มข้น เพื่อดูแลทุกคน เท่าเทียม

ใช้แผนโตเกียว-เวนิสแก้น้ำท่วม

ส่วนทีมเจ้าหน้าที่ กทม.ต้องเรียนรู้ได้ พร้อมทำงานแบบใหม่ ใช้เทคโนโลยีมาบริการประชาชน เครื่องสูบน้ำของ กทม.ต้องทำงานอัตโนมัติทันทีที่ฝนตก ประตูระบายน้ำต้องทำงานประสานกันด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องเสี่ยงรอเจ้าหน้าที่มาเปิด-ปิด ที่ไม่เคยได้ผล

การแก้วิกฤตน้ำท่วมในอนาคตต้องทันสมัย ใช้แก้มลิงใต้ดินแบบกรุงโตเกียว และถึงเวลาผนึกกำลังกับจังหวัดปริมณฑล สมุทรปราการ สมุทรสาคร วางแผนประตูกั้นน้ำทะเลหนุนแบบเนเธอแลนด์ หรือแบบเมืองเวนิสถึงเราจะรอด

อินเทอร์เน็ตฟรี-ใช้ AI ควบคุมไฟจราจร

ระบบสัญญาณจราจรต้องทำงานอัตโนมัติ ควบคุมด้วยปัญญาประดิษฐ์ AI เหมือนสิงคโปร์ โตเกียว ปักกิ่ง นิวยอร์ก ลอนดอน ไม่ต้องใช้บริการตำรวจจราจรในป้อมตำรวจเพราะมีความแม่นยำกว่า แก้ปัญหารถติดได้เบ็ดเสร็จ

อินเทอร์เน็ตต้องฟรี ส่งเสริมการเรียนรู้ ทำมาหากิน เข้าถึงโอกาสในการค้าขายออนไลน์ และที่สำคัญใช้เตือนภัยพลเมือง เรื่องฝนตก น้ำท่วม และรายงานฝุ่นพิษ PM 2.5 อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่อยู่เสี่ยงกันไปวัน ๆ เหมือนที่เป็นอยู่ที่น้ำทะลักตรงสะพานซังฮี้ ไม่มีระบบเตือนภัยชาวบ้าน

ใช้พื้นที่คุ้มค่าทั้ง 4 มิติ กว้างคูณยาวบนพื้นดิน เพิ่มพื้นที่จราจร มีทางจักรยานปลอดภัยลอยฟ้า ทำพื้นที่ใต้ดิได้ทำมาค้าขาย ทำเหมือนสิงคโปร์ โตเกียว กรุงโซล ไม่ต้องไปเบียดเบียนฟุตปาททางเดินที่ทุกเมืองเขาทันสมัยใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้ว คนเราเกิดมาทั้งที เราต้องกล้าฝัน ต้องเปลี่ยนกรุงเทพฯเป็นเมืองต้นแบบของอาเซียน

“ผมตั้งใจ ผมเตรียมพร้อมมา 30 ปี ขออาสาเป็นตัวแทนคนกรุงเทพฯ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ผมขอเชิญชวนทุกท่าน มาร่วมเดินทางแห่งความหวังครั้งสำคัญครั้งนี้ เพื่ออนาคตลูกหลานเรา เราจะคืนรอยยิ้มให้คนกรุงเทพฯ ”นายสุชัชวีร์กล่าว