ยาโควิดจีนดีมานด์พุ่ง-ราคาแพง ของเถื่อน-ปลอมระบาดหนัก

ยา
คอลัมน์ : Market Move

จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในจีนที่พุ่งสูงขึ้นหลังผ่อนคลายมาตรการซีโร่โควิด ซึ่งตามข้อมูลของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนระบุว่า ช่วงตั้งแต่ 8 ธ.ค. 65-12 ม.ค. 66 มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้งโดยตรงและภาวะแทรกซ้อนมากถึง 59,938 คนนั้น ทำให้ความต้องการยาต้านไวรัส อาทิ ยาแพ็กซ์โลวิด ของไฟเซอร์ พุ่งสูงเกินกว่าซัพพลายไปหลายเท่า

แต่กลับมีโรงพยาบาลเพียงไม่กี่แห่งที่มีตัวนี้ อาทิ โรงพยาบาลเฉพาะทางสำหรับโรคโควิด-19 และโรงพยาบาลเอกชนระดับไฮเอนด์

สถานการณ์ชวนสิ้นหวังนี้ทำให้ชาวจีนจำนวนมากต้องหันไปพึ่งการซื้อยาจากตลาดมืด ที่นอกจากจะต้องเจอกับการโขกราคา ที่ทำให้ยาแพ็กซ์โลวิด 1 คอร์สการรักษา หรือ 30 เม็ด ใช้ได้นาน 5 วัน ราคาพุ่งจาก 1,890-3,000 หยวน (9,312-14,781 บาท) ขยับขึ้นไปเป็นกล่องละ 10,000 หยวน (49,271 บาท) แล้ว

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ยังต้องเผชิญปัญหายาด้อยคุณภาพและยาปลอมอีกด้วย

สำนักข่าวไคซิน (Caixin) รายงานว่า ขณะนี้จีนกำลังเผชิญปัญหายาแพ็กซ์โลวิดปลอมระบาดไปทั่ว เนื่องจากดีมานด์และราคาที่พุ่งสูงหลายเท่าตัว ทำให้บรรดาผู้ค้าในตลาดมืดพยายามทุกวิถีทางเพื่อหายาตัวนี้มาขายให้ได้ หนึ่งในนั้นคือการลักลอบนำเข้าจากอินเดีย ซึ่งได้รับอนุญาตจากไฟเซอร์ให้ผลิตยาแพ็กซ์โลวิด

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นผู้ผลิตยารายใหญ่ของโลกด้วยส่วนแบ่งตลาด 20% แต่ก็มาพร้อมกับชื่อเสียด้านปัญหาการควบคุมคุณภาพด้วยเช่นกัน

ADVERTISMENT

โดยสองพ่อค้าตลาดมืดที่ใช้นามแฝงว่า “หยาง หมิง” และ “หวัง เฉิน” เปิดเผยว่า แม้จะยอมจ่ายเงิน 1 หมื่นหยวน แต่ก็ใช่ว่าจะได้ยามาจริง ๆ เพราะตอนนี้ตลาดอยู่ในสภาพสับสนวุ่นวายสุดขีด จนแม้แต่ผู้ขายเองยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถหายามาได้เมื่อไหร่ และไม่สามารถบอกได้ว่ายาที่ได้มานั้นมาจากที่ไหนกันแน่ แต่คาดว่าจะมาจากผู้ผลิตในอินเดีย

ทั้งนี้ ตามปกติยายาแพ็กซ์โลวิดที่ผลิตในอินเดียไม่สามารถนำมาขายในจีนอย่างถูกกฎหมายได้ เนื่องจากการอนุญาตผลิตยานี้อยู่ภายใต้ข้อตกลงของสหประชาชาติว่าต้องใช้ในประเทศรายได้ต่ำ-ปานกลางเท่านั้น

ADVERTISMENT

นอกจากปัญหาด้านกฎหมายแล้ว ยาแพ็กซ์โลวิดเถื่อนเหล่านี้ยังมีปัญหาที่รายแรงกว่า นั่นคือยาจำนวนมากเป็นยาปลอมที่ไม่มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ในการรักษาโรคโควิด-19 อยู่เลย ขณะที่บางส่วนมีการผสมสารอื่นเข้าไปแทนด้วย

เมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนตรวจยึดยาแพ็กซ์โลวิดปลอมลอตใหญ่ได้ หลังจากนั้นไม่นานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของจีนร่วมกับสำนักรักษาความปลอดภัยสาธารณะออกเอกสารแจ้งให้หน่วยงานต่าง ๆ ผนึกกำลังบังคับใช้กฎหมายเรื่องการบริหารจัดการยา เช่น การส่งต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลคดี สะท้อนถึงความพยายามจัดการปัญหายาปลอมและการขายยาเถื่อน

ทั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแต่รัฐบาลจีนที่พยายามหยุดยั้งปัญหายาปลอม แต่ยังมีความพยายามจากภาคเอกชนด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยการนำยาในตลาดมืดเข้าไปทดลองแยกส่วนประกอบในห้องแล็บ ซึ่งผลที่ออกมานับว่าน่าตกใจ

โดยเมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2565 บล็อกเกอร์ด้านวิทยาศาสตร์เริ่มตั้งข้อสังเกตถึงคุณภาพยาต้านไวรัสจากอินเดียที่ถูกลักลอบนำมาขายในประเทศจีน และหลังจากนั้นไม่นานกลุ่มเอ็นจีโอเริ่มเข้าให้ความสนใจประเด็นนี้ จนมีการนำยาแพ็กซ์โลวิดที่ผลิตในอินเดีย อาทิ ยี่ห้อ Primovirและ Paxista ซึ่งเป็น 2 ยี่ห้อยอดฮิตในตลาดมืดแดนมังกรมาทดลองในห้องแล็บเพื่อแยกส่วนผสม

หนึ่งในนั้นคือ “หยิน เย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บีจีไอ กรุ๊ป บริษัทวิจัยพันธุกรรมสัญชาติจีน ซึ่งยอมควักกระเป๋าจ้างห้องแล็บของบริษัททดลองยาต้านไวรัสจากอินเดีย หลังทดลองแยกส่วนประกอบตัวอย่างกว่า 249 ตัวอย่าง พบว่า 92.4% ไม่มีสาร nirmatrelvir ที่เป็นตัวยาสำคัญในสูตรยาแพ็กซ์โลวิดอยู่เลย

อย่างไรก็ตาม ที่มาของยาปลอมเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาดำมืด เนื่องจากผู้ค้าและบริษัทผู้ผลิตต่างปฏิเสธว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง “หวัง เฉิน” หนึ่งในผู้ค้ายาในตลาดมืดเล่าว่า ยาที่นำเข้ามาขายนั้นมาจากการว่าจ้างให้แอสทริกา เฮลท์แคร์ บริษัทผลิตยาสัญชาติอินเดีย ซึ่งมีความร่วมมือกันมานานตั้งแต่ก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นผู้ผลิตให้ โดยช่วงแรกทุกอย่างราบรื่นดี ยาที่ได้รับมีสารสำคัญตามปกติ

จนกระทั่งช่วงกลางเดือนธันวาคม 2565 ที่เริ่มเกิดความผิดปกติ โดยจากการพูดคุยกับผู้จัดจำหน่ายรายอื่น พบว่าบริษัทแอสทริกา เริ่มส่งยาให้ผู้จัดจำหน่ายในจำนวนที่มากกว่ากำลังผลิตของบริษัท

พร้อมกันนี้ “หวัง เฉิน” ยืนยันว่าไม่มีการสับเปลี่ยนยาระหว่างขนส่งอย่างแน่นอน เนื่องจากกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่ยาออกจากโรงงานที่อินเดีย จนมาถึงโกดังในจีนแผ่นดินใหญ่ มีการบันทึกวิดีโอและตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรฮ่องกง

ขณะที่บริษัทผู้ผลิตยาในอินเดียไม่ตอบรับการขอคอมเมนต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ของสำนักข่าวไคซิน ทำให้ปัญหายาต้านไวรัสโควิด-19 ปลอมระบาดในแดนมังกรยังคงไม่สามารถหาผู้รับผิดชอบได้