เสน่ห์ของอินเดีย หลังขึ้นเบอร์หนึ่งประชากรโลก

อินเดีย
คอลัมน์ : เปิดมุมมอง
ผู้เขียน : ณัฐพร ศรีทอง
Krungthai COMPASS

อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าจับตามอง โดย IMF ระบุว่าอินเดียจะขยับมามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกในปี 2570 จากอันดับ 5 ในปัจจุบัน ท่ามกลางอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ขยายตัวสูงต่อเนื่อง

ทั้งยังเนื้อหอมในการเป็นปลายทางการลงทุนและย้ายฐานการผลิต อาทิ APPLE มีแผนย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีนไปอินเดีย เช่นเดียวกับ Samsung, LG, HP, Dell ที่หันมาใช้กลยุทธ์ “China Plus One” มากขึ้น จนหลายฝ่ายต่างจับตามองว่าอินเดียอาจกลายเป็นอีกหนึ่ง “โรงงานโลก” ที่สำคัญในอนาคต

นอกจากนั้น ปีนี้อินเดียกำลังจะมีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่จำนวน 1,429 ล้านคน แซงหน้าจีน อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาววัยทำงาน โดยมีสัดส่วนประชากรที่อายุต่ำกว่า 30 ปี มากถึง 51% และมีอายุเฉลี่ยเพียง 28 ปี ต่ำกว่าอายุเฉลี่ยของประชากรโลกที่อยู่ที่ 30 ปี

นอกจากนี้ ชนชั้นกลางของอินเดียซึ่งมีกำลังซื้อสูง เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก People Research on India’s Consumer Economy (PRICE) ชี้ว่าสัดส่วนชนชั้นกลางของอินเดียเพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี 2558 เป็น 31% ในปี 2563 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 47% ในปี 2573 หรือคิดเป็นจำนวนมากถึง 715 ล้านคน

การเพิ่มขึ้นของประชากรอินเดีย ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ขยายตัวสูง จะทำให้การอุปโภคบริโภค การผลิตเพื่อส่งออก รวมถึงการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี แม้ปีที่ผ่านมา อินเดียถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 7 ของไทย ด้วยมูลค่า 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 22.5% แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อินเดียนำเข้าสินค้าจากไทยเฉลี่ยสัดส่วนเพียง 1.4% เมื่อเทียบกับมูลค่านำเข้าทั้งหมดของอินเดีย

สะท้อนโอกาสของภาคส่งออกไทยที่จะเจาะตลาดอินเดียได้อีกมาก ภายใต้การใช้ประโยชน์จาก FTA ไทย-อินเดีย และ FTA อาเซียน-อินเดีย โดยสินค้าไทยที่มีศักยภาพส่งออกไปอินเดีย ได้แก่ 1) สินค้าขั้นกลาง อาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ เหล็ก เครื่องจักรกล และส่วนประกอบรถยนต์

2) สินค้าอุปโภคและบริโภค เช่น น้ำมันปาล์ม เครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศ เครื่องคอมพิวเตอร์ สินค้าอาหารแปรรูป และโปรตีนจากพืช (plant-based meat) ซึ่งตอบโจทย์คนอินเดียจำนวนมากที่รับประทานมังสวิรัติ

การเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางจะทำให้ชาวอินเดียท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น ดังเช่นในช่วง 10 ปีก่อนเกิดโควิด-19 ที่ชาวอินเดียท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 9.3% ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญ โดยในปี 2565 มีชาวอินเดียเดินทางมาเที่ยวไทย 9.98 แสนคน มากเป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย

Krungthai COMPASS คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 1.5-1.8 ล้านคน และ 1.9-2.1 ล้านคน ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ จากความเชื่อมั่นหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง และมีจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น

ธุรกิจท่องเที่ยวโรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิง ร้านค้าปลีก ธุรกิจขนส่ง จะได้รับอานิสงส์จากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวอินเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูง โดยในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 มีการใช้จ่ายเฉลี่ย 5,493 บาท/คน/วัน สูงกว่าภาพรวมนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 5,172 บาท/คน/วัน

นอกจากนี้ ธุรกิจโรงแรมและการจัดงานเลี้ยงมีโอกาสจากเศรษฐีอินเดียที่นิยมเข้ามาจัดงานแต่งงานในไทย ซึ่งงานแต่งแต่ละครั้งใช้งบประมาณสูงถึง 10-50 ล้านบาท โดยสถานที่จัดงานแต่งงานที่ได้รับความนิยม คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต พังงา และกระบี่ ทั้งนี้ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ภูเก็ตได้รับการโหวตให้เป็น Best Wedding Destination (International) จากนิตยสาร Travel+Leisure India & South Asia ในงาน India’s Best Awards 2022

ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวรับโอกาสเหล่านี้ได้ โดยศึกษาพฤติกรรมชาวอินเดียอย่างลึกซึ้ง ระบุกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เจาะจง เข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่าง ๆ เพื่อทดลองตลาดหรือหาพันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงทดลองนำสินค้าไปขายผ่านแพลตฟอร์ม e-Commerce เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคอินเดีย ซึ่ง EY คาดว่า retail e-Commerceในอินเดีย จะขยายตัวถึงปีละ 20% ในช่วงปี 2566-2573 ตลอดจนอาจเข้าไปลงทุนเปิดบริษัทหรือตั้งโรงงานในอินเดีย


โดยเฉพาะธุรกิจใน 14 สาขาที่อินเดียให้การส่งเสริมภายใต้มาตรการ PLI (Production-Linked Incentive Scheme) โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2561-2565) ไทยเข้าไปลงทุนในอินเดียคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.4% ของเงินลงทุนของไทยในต่างประเทศ และเมื่อเทียบกับยอด FDI ทั้งหมดในอินเดีย ก็มีสัดส่วนเพียง 0.2% เท่านั้น