เมื่อไต้หวันไม่อยากรวมกับจีน แต่โลกไม่หนุนเอกราช 

เลือกตั้งไต้หวัน ไล่ ชิงเต๋อ
ไล่ ชิงเต๋อ กล่าวสุนทรพจน์ปประกาศชัยชนะหลังเลือกตั้ง (ภาพโดย Carlos Garcia Rawlins/ REUTERS)
คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติ
ผู้เขียน : รุ่งนภา พิมมะศรี

การเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน ทราบผลอย่างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ไล่ ชิงเต๋อ (Lai Ching-Te) จากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ที่ต่อต้านหลักการ “จีนเดียว” และต้องการพาไต้หวันประกาศเอกราช ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 40.05% คว้าตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันไปครอง พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์พา DPP บริหารไต้หวันติดต่อกัน 3 สมัย 

โหว โหย่วอี๋ (Hou yu-ih) จากพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ที่สนับสนุนหลักการ “จีนเดียว” ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 2 สัดส่วน 33.49% ขณะที่ เคอ เหวินเจ๋อ (Ko Wen-je) จากพรรคประชาชนไต้หวัน (TPP) ที่เป็น “สายกลาง” แต่ไม่ต่อต้านหลักการ “จีนเดียว” ที่มาเป็นอันดับ 3 ได้คะแนนไปถึง 26.46%  

ส่วนที่นั่งในรัฐสภา หรือจำนวน สส. KMT ได้ไป 52 ที่นั่ง DPP ได้ 51 ที่นั่ง TPP ได้ 8 ที่นั่ง และผู้สมัครอิสระ 2 ที่นั่ง 

หลักใหญ่ใจความสำคัญของการเลือกตั้งใหญ่ไต้หวันคือ เป็นการส่งเสียงของชาวไต้หวันบอกให้จีนและชาวโลกได้ทราบว่า ชาวไต้หวันอยากรวมชาติกับจีนหรือไม่ ขณะที่จีนย้ำเสมอว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และจะต้องรวมชาติให้สำเร็จ  

เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาว่า ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจาก DPP ที่ชัดเจนว่าไม่เอา “จีนเดียว” ได้คะแนนเป็นสัดส่วน 40.05% ขณะที่ตัวแทนจาก KMT ที่สนับสนุนหลักการ “จีนเดียว” ได้ 33.49% ก็ชัดเจนว่าชาวไต้หวันไม่อยากรวมกับจีน 

แม้ว่าจะมีคะแนน 26.46% ที่มอบให้พรรค TPP ซึ่งเป็น “สายกลาง” แต่การตีความเสียงคนที่เลือก TPP ก็บ่งชี้ไปในทางที่ว่า คนเลือก TPP ไม่อยากรวมกับจีนมากกว่า เพราะถ้าอยากรวมก็คงเลือก KMT ที่มีจุดยืนที่จะนำไปสู่การรวมชาติได้มากกว่า แต่ขณะเดียวกัน คนกลุ่มนี้ไม่เลือก DPP แล้วมาเลือก TPP ก็เพราะว่าไม่ต้องการรัฐบาลที่ไม่เป็นมิตรกับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่ได้ต้องการการประกาศเอกราช ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดสงคราม 

ADVERTISMENT

ไล่ ชิงเต๋อ กับพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าเองก็ทราบถึงสถานการณ์และระดับอารมณ์ความรู้สึกของชาวไต้หวันตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งอยู่แล้วว่า ถึงแม้ชาวไต้หวันจำนวนมากไม่ได้อยากรวมกับจีน แต่ก็ไม่อยากให้เกิดสงครามเช่นกัน 

ไล่ ชิงเต๋อ กับพรรคของเขายอมรับถึงความจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังท่าที เห็นได้จากที่เขาได้ลดระดับความเดือดลง เพื่อดึงคะแนนจากคนที่หวั่นเกรงว่าจะเกิดสงคราม เขาและทีมงานพยายามสื่อสารว่าไม่ได้สนับสนุนการประกาศเอกราช และในวันท้าย ๆ ของการหาเสียงเขาให้คำมั่นสัญญาว่า หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เขาจะรักษาสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันระหว่างไต้หวันกับจีน และจะเจรจากับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่บนพื้นฐานของความเสมอภาค 

ADVERTISMENT

และหลังจากที่ทราบผลการนับคะแนนชัดเจนแล้ว เขาก็กล่าวสุนทรพจน์ฉลองชัยชนะด้วยท่าทีที่ประนีประนอม โดยกล่าวว่าจีนกับไต้หวันควรจะเจรจากัน เพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝั่ง

ขณะเดียวกัน แม้ว่าไต้หวันจะมีชาติมหาอำนาจเป็นพันธมิตรในเชิงพฤตินัย แต่ในทางนิตินัย พันธมิตรเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ หรือยุโรป ก็ล้วนดำเนินนโยบาย “จีนเดียว” ไม่ได้ยอมรับว่าไต้หวันมีสถานะเป็น “ประเทศ” และไม่ได้สนับสนุนการประกาศเอกราชของไต้หวัน 

หลังทราบผลการเลือตั้งในไต้หวัน ประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ของสหรัฐพูดอย่างชัดเจนว่า สหรัฐไม่ได้สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน 

เมื่อพี่ใหญ่ประกาศเสียงดังฟังชัดขนาดนี้ ดังนั้น แม้ว่าไต้หวันจะได้บุคคลที่จีนเรียกว่า “เป็นอันตรายต่อสันติภาพ” มาเป็นประธานาธิบดี รัฐบาลไต้หวันก็ไม่น่าจะกล้าทำอะไรที่เป็นการยั่วยุจีนจนนำไปสู่สงคราม แต่ถ้าสงครามจะเกิดจากจีนกับสหรัฐยั่วยุกระทบกระทั่งกันเอง …ก็ไม่แน่