SEAC (Southeast Asia Center) หรือศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน จัด “SEAC Talks Forum : Essential Skills for Thai Workforce 2021” ซึ่งเป็นการเสวนาร่วมกันของ 3 ผู้บริหาร
ได้แก่ “อริญญา เถลิงศรี” กรรมการผู้จัดการ SEAC, “อภิชาติ ขันธวิธิ” เจ้าของเพจ HR The Next Gen และ Co-Founder QGEN และ “อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์” Head of People LINE MAN Wongnai เกี่ยวกับการยกระดับศักยภาพคน สังคม และธุรกิจไทย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายครั้งใหม่ในโลกที่เรียกว่า VUCA World
- สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ซีอีโอ “เอไอเอส” สละโสดในวัย 62 ปี
- มอเตอร์โชว์ 2024 เริ่มแล้ว
- แนวโน้มราคาทองวันนี้ (25 มี.ค. 67) บทวิเคราะห์โดย YLG Bullion
องค์กรไทยใช้เงิน 1% พัฒนาคน
“อริญญา” กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลทำให้หลายองค์กรไม่สามารถต้านทานผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะไม่ได้วางระบบภูมิคุ้มกันไว้ เช่น การทรานส์ฟอร์มองค์กร และการเสริมทักษะใหม่ ๆ ให้บุคลากร เพื่อให้องค์กรมีรากฐานมั่นคง และสามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลง
“โลกที่ไม่แน่นอน หรือ VUCA World (V-volatility ความผันผวน, U-uncertainty ความไม่แน่นอน, C-complexity ความซับซ้อน, A-ambiguity ความคลุมเครือไม่ชัดเจน) หลังเกิดโควิด-19 จะยังคงอยู่กับเราต่อไป องค์กรและคนที่ทำงานแบบเดิมคงไม่สามารถเล่นทันเกมและบริบทของโลกยุคนี้ได้”
ดังนั้น การส่งเสริมบุคลากรให้มีแนวคิดเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning mindset) ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจมากที่สุด ซึ่งข้อมูลจากการศึกษาองค์กรยักษ์ใหญ่ระดับโลกของ McKinsey พบว่า กว่า 87% ของผู้บริหารระดับสูงกว่าทั่วโลกมองว่าองค์กรตัวเองยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งกับโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องคนยังมีช่องว่างอยู่มาก นอกจากนั้นการศึกษาวิจัยของ PwC ระบุว่า องค์กรที่ต้องการทรานส์ฟอร์มและสร้างนวัตกรรมต้องเพิ่มทักษะคนในองค์กรอีก 3 เท่าถึงจะเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ และสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง
ทำให้องค์กรใหญ่ ๆ ในโลกต่างจริงจังและลงทุนเงินก้อนโตกับการเพิ่มทักษะคน เช่น J.P. Morgan ใช้เงินถึง 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อยกระดับคนในองค์กร, เบื้องหลังความสำเร็จของ Amazon คือ ลงทุน 700 ล้านดอลลาร์ในการพัฒนาอัพสกิลคนจำนวนแสนคน และ IBM ใช้เวลา 20 ชั่วโมงเพื่อเทรนคนให้เข้าใจลึกซึ้งในเรื่องเทคโนโลยี แต่ขณะที่องค์กรขนาดใหญ่ในประเทศไทยใช้เงินเพียง 1% ของกำไรในการพัฒนาคนในองค์กรเท่านั้น
ทักษะสำคัญ 2021
“อริญญา” อธิบายว่า ทักษะสำคัญ (essential skills) ที่คนในองค์กรไทยต้องมีในปี 2021 หลัก ๆ คือ 4 ข้อ ได้แก่
1.การสร้างให้คนทั้งองค์กรมีทักษะเรื่องการปรับตัว (adaptability) ให้สามารถทำงานในรูปแบบใหม่ เวทีใหม่ การแข่งขันใหม่ อีกทั้งมีความปราดเปรียวมากขึ้น ไม่ยึดติดการทำงานเรื่องแบบเดิม ๆ
2.แก้ปัญหาและตัดสินใจแบบใหม่ต้องมองในมิติใหม่ ๆ
3.เป็นผู้นำ (leader) ไม่สำคัญเท่ากับมีความเป็นผู้นำ (leadership) ในพนักงานทุกคน มีความรับผิดชอบและพร้อมทำงานกับคนหลากหลายสไตล์ได้
4.ทุกคนในองค์กรต้องเข้าใจเทคโนโลยี เครื่องมือ และข้อมูล แล้วนำมาใช้ได้จริง
“เรื่องพัฒนาคนไม่ใช่หน้าที่ของฝ่าย HR อย่างเดียว แต่หัวหน้าของทีมต้องเข้าใจเรื่องงานและการเปลี่ยนแปลงของเนื้องาน ต้องรู้ว่าในทีมต้องโฟกัสอะไรเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ส่วนองค์กรต้องสร้างวิธีการเรียนรู้ให้กับพนักงาน และผู้นำต้องเก่งเรื่องคน โดยต้องใกล้ชิดกับพนักงานมากขึ้น ทั้งในและนอกองค์กร ต้องมี EQ ในการบริหารงานและเรื่องส่วนตัวให้ได้”
5 ความท้าทายใหม่
“อริญญา” บอกว่า การทำงานในปี 2021 จะเปลี่ยนแปลงจากอดีตชัดเจน เพราะเริ่มมีคนรุ่น Gen Z เข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้นเรื่อย ๆ และพวกเขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่หยุดนิ่งและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึงโควิด-19 สร้างผลกระทบต่อรูปแบบการทำงาน ดังนั้น เพื่อให้องค์กรสามารถเตรียมปรับรูปแบบการทำงานกับความท้าทายใหม่ องค์กรต้องเข้าใจ 5 เรื่องที่สำคัญดังนี้
1.cross-gen workforce สถานที่ทำงานจะมีคนทำงาน 4 เจเนอเรชั่นทำงานร่วมกัน การเพิ่มเจนใหม่เข้ามาร่วมทำงาน และนับเป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อโลกธุรกิจยุคใหม่ ตอนนี้คน Gen Z เริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานแล้ว พวกเขากลุ่มคนที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัย ที่อยู่แวดล้อมที่แตกต่าง มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความคิดสร้างสรรค์ และชอบความท้าทาย
นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายองค์กรว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานได้ เพราะวิธีการทำงานแบบเดิม ๆ จะไม่สามารถใช้กับ Gen Z ได้ ดังนั้น องค์กรต้องเร่งปรับรูปแบบการทำงาน วิธีการสื่อสารที่จะตอบโจทย์การทำงาน เพื่อให้คนทั้ง 4 เจเนอเรชั่นสามารถทำงานด้วยกันและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
2.remote work หลายองค์กรหันมาทำงานแบบทางไกล (ไม่ต้องอยู่ในสำนักงาน) มากขึ้น ดังนั้น โจทย์ขององค์กรในอนาคต คือ ต้องทำอย่างไรที่จะสามารถสร้างความมีส่วนร่วมระหว่างคนและองค์กร และหารูปแบบการประเมินการปฏิบัติงานใหม่ รวมถึงรูปแบบการบริหารจัดการกลุ่มคนที่ทำงานจากต่างสถานที่กัน
3.communication ปรับการสื่อสารภายในองค์กรอย่างจริงจัง องค์กรต้องเน้นสื่อสารให้ถี่ขึ้น ต่อเนื่องมากขึ้นและโจทย์สำคัญ คือ องค์กรจะสื่อสารกับคนในองค์กรอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ สามารถแย่งชิงเนื้อหา ข้อมูลบนโลกออนไลน์ที่ปริมาณต่อวันเยอะมาก ๆ ได้ รวมทั้งทำอย่างไรให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการเนื้อหาที่สั้น กระชับ ตรงประเด็นและถี่มากที่สุด รวมถึงมีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น
4.work life integration การผสมผสานชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวเข้าด้วยกัน คนต้องเริ่มเปลี่ยนไมนด์เซตใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้งานและชีวิตสามารถเป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งกว่า 80% ขององค์กรระดับโลกให้ความสนใจทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เช่น ใช้ช่วงเวลากลางวันในการติดต่อประสานงานกับลูกค้า ประชุมกับเพื่อนร่วมงานและไปรับส่งลูก จากนั้นใช้ช่วงเวลากลางคืนในการเคลียร์งานในส่วนของเรา เป็นต้น
5.reskill และ upskill องค์กรส่วนใหญ่เริ่มทรานส์ฟอร์มองค์กรและคนอีกครั้งผ่านการวาง roadmap ที่ชัดเจนว่าพนักงานแต่ละคน แต่ละแผนกจะต้องอัพสกิลเรื่องอะไรบ้าง รีสกิลเรื่องอะไรบ้าง และสิ่งที่องค์กรต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น คือ เรื่องของ soft skills และ mindset เพื่อที่จะไปตอบบทบาทและหน้าที่การทำงานของแต่ละคนมากขึ้น
ความท้าทายใน VUCA World
“อภิชาติ” กล่าวว่า ตอนนี้เรื่อง speed เป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจ ทุกองค์กรต้องปรับตัวอยู่เสมอ และปัจจัยที่จะทำให้องค์กรแข่งขันบนเวทีการค้าได้ คือ “คน” ถึงแม้ว่าองค์กรจะลงทุนเรื่องเทคโนโลยีและพัฒนาสินค้าดี ๆ แต่ถ้าวางระบบคนไม่ดีหรือไม่ได้เลือกคนที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น คงไม่สามารถดึงศักยภาพที่ดีที่สุดของการทำงานในองค์กรให้ออกมาได้ เมื่อคนเก่งขึ้น องค์กรจะแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
“ในโลก VUCA เราต้องผสานกลยุทธ์ขององค์กรเข้ากับสิ่งที่คนในองค์กรต้องการ โดยต้องทำให้เชื่อมโยงกัน พร้อมกับต้องมีความเร็วและปลูกฝังแนวคิด eager to learn (กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้) พนักงานรู้ว่าต้องทำอะไร และเรียนรู้อะไรก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนองค์กรที่ไปต่อไม่ได้คือองค์กรที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน”
โมเดล 70 : 20 : 10
“อานนทวงศ์” กล่าวว่า หัวใจสำคัญที่ทำให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจและบริหารคนต่างเจเนอเรชั่นให้ทำงานร่วมกัน และเป็นหนึ่งในองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานมากที่สุด คือ ต้องมี agile หรือกระบวนการที่จะช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น โดยลดการทำงานที่เป็นขั้นตอนและงานด้านเอกสารลง รวมถึงมีความยืดหยุ่นและมี growth mindset (กรอบความคิดแบบพัฒนาได้) กล้าทดลองทำสิ่งใหม่ กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าล้มเหลว เพื่อค้นหาสิ่งใหม่ที่ดีขึ้น
“ยุคนี้เป็นยุคที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ คนทำงานต้องปรับตัวเร็ว คนที่มี growth mindset จะสามารถพาองค์กรไปต่อได้ แต่ผู้บริหารต้องมีความชัดเจนด้วยว่า ต้องการทำอะไร ลูกน้องถึงจะสร้างเส้นทางเดินได้ถูกต้อง แล้วพอถึงทางตัน ก็ต้องมองหาอะไรใหม่”
ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นทุกอย่างของธุรกิจมาจากคน ถ้าองค์กรมองคนเป็นแค่ทรัพยากรก็จะปฏิบัติต่อเขาอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้ามองคนเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราจะปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นเพื่อนกัน เป็นพี่น้องที่มีความต้องการและความเจ็บปวดเหมือนกับเรา
การที่จะเป็นองค์กรที่คนอยากทำงานด้วย และคงอยู่กับเรานาน ๆ องค์กรต้องให้ความสำคัญในการบริหารคน เซตค่านิยมองค์กร (core value) ที่ชัดเจน และหาคนในองค์กรให้ชัดเจน ต้องมีการปรับเปลี่ยนทักษะใหม่ ๆ ตลอดเวลาตามโมเดล 70 : 20 : 10
หมายถึง 70% challenging assignments การเรียนรู้ด้วยตนเองจากการปฏิบัติงาน, 20% developmental relationships การเรียนรู้จากผู้อื่นด้วยกิจกรรมที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการเข้ากลุ่ม การมีโค้ชหรือพี่เลี้ยง การเรียนรู้จากการทำงานร่วมกัน และ 10% coursework and training การพัฒนาความรู้และทักษะจากหลักสูตรฝึกอบรม การสัมมนาต่าง ๆ หรือการศึกษาจากหนังสือ
นับว่าหลายองค์กรต้องให้ความสนใจกับการยกระดับศักยภาพคนให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น พร้อมทั้งติดตั้งวิธีคิดแบบ lifelong learning mindset เพื่อให้คนเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จนเกิดการขับเคลื่อนองค์กรให้สามารถฝ่าฟันของโลกแห่งความไม่แน่นอนได้