เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สปป.ลาวต้องเผชิญปัญหา “ค่าเงินกีบ” อ่อนค่าอย่างหนัก ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าโดยเฉพาะ “น้ำมัน” พุ่งสูงขึ้น กระทบลามสู่ “เงินเฟ้อ” ที่ทะยานขึ้นไปสูงสุดในอาเซียน นอกจากนี้ สปป.ลาวยังมีหนี้สาธารณะที่มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น
และมีภาระหนี้ที่จะครบชำระต้องจ่ายในปี 2565 อีก 1,140 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เศรษฐกิจ สปป.ลาวอาจจะซ้ำรอยประเทศศรีลังกา
- BITE SIZE : ขึ้นค่าแรง 10 จังหวัด-ปรับเงินเดือนข้าราชการ เพิ่มขึ้นเท่าไร
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ใช้จ่ายผ่านโมบายแบงกิ้ง ดึงแอป “ทางรัฐ” เชื่อมหลังบ้าน
ล่าสุดนายสุลีวัฒน์ สุวรรณจูมคัม (Soulivath Souvannachoumkham) ผู้อำนวยการทั่วไปฝ่ายบริหารจัดการหนี้สาธารณะ (Director General of Department of Public Debt Manegement) กระทรวงการเงิน สปป.ลาว ออกมาให้ข้อมูลว่า สภาพเศรษฐกิจลาวนั้น “ไม่ได้ตกต่ำอย่างเช่นในรายงานของสถาบันบางแห่งที่ประเมินโดยใช้ข้อมูลไม่รอบด้าน”
โดยเศรษฐกิจลาว 2-3 ปีที่ผ่านมา ขยายตัว 7-8% และจากผลกระทบโควิด-19 ในปี 2020 ทำให้ลาวสูญเสียรายได้ไปเกือบ 400 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 3.5% ของ GDP ขณะที่องค์กรระหว่างประเทศอย่าง IMF-World Bank-ADB คาดการณ์ว่า ปี 2020 เศรษฐกิจน่าจะหดตัว แต่ปรากฏในปี 2020 GDP ลาวก็ยังเป็นบวก 3.3% แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของลาวยังเดินต่อได้ แม้ว่าจะมีการล็อกดาวน์ประเทศ
“GDP ลาวในปี 2021 ก็ยังขยายตัว 3.3-3.4% ส่วนปีนี้แม้เศรษฐกิจรีคัฟเวอร์ขึ้นมาเล็กน้อย แต่โควิด-19 ยังอยู่ ทำให้ครึ่งปีแรกเติบโต 3.4% และคาดว่าทั้งปีจะเติบโต 3.4% อยู่ในเรนจ์ที่เป็นบวกและยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าผลข้อขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนจะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นสูง แน่นอนว่า สปป.ลาวได้รับผลกระทบ แต่โดยรวมแล้วการจัดเก็บรายรับของลาวก็ยังเป็นไปตามเป้าหมาย ล่าสุดการจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณปี 2021 สามารถเก็บได้ 102% ของแผน
ส่วนรายจ่ายสามารถจำกัดไม่ให้สูงประมาณ 90% ทำให้การขาดดุลลดลง สภาพการณ์ที่ไม่ปกติและมีผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่เข้ามา รัฐบาลเลยเห็นว่า เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องบริหารจัดการทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทางด้านการคลัง และปัญหามหภาคอย่างเข้มงวด” นายสุลีวัฒน์กล่าว
วาระแห่งชาติ
รัฐบาลลาวได้ออกวาระแห่งชาติ (National Agenda) เกี่ยวกับการจัดเก็บรายรับและการประหยัดรายจ่าย เพื่อบริหารจัดการในด้านเศรษฐกิจมหภาคให้ตอบโจทย์ โดยในแผนงบประมาณเดิมขาดดุลงบประมาณสูงถึง 4-6% ของ GDP ซึ่งเป็นความเสี่ยง ดังนั้น ทางรัฐบาลเองก็ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างของแผนงบประมาณด้วย
โดยกำหนดแผน 5 ปี (2021-2025) และเสนอสภาเป็นแผนรับรอง ระยะกลาง เป็น Medium term budget plan กำหนดให้การขาดดุลงบประมาณไม่เกิน 2% ของ GDP เท่านั้น อันนี้เป็นกรอบเฟรมเวิร์กที่รัฐบาลได้ตั้งไว้ อันที่ 2 จะต้องเร่งจัดเก็บรายรับงบประมาณให้เพิ่มขึ้นสูงและเร็วด้วย
ซึ่งก่อนโควิด-19 ลาวเก็บรายรับอยู่ที่ 16% ของ GDP คาดว่าจะเพิ่มให้ไปถึง 17% ของ GDP ในปี 2025 เป็น Top Piority นอกจากนี้ เรายัง “จำกัด” รายจ่ายไม่ให้เพิ่มขึ้นสูง และเพิ่มรายรับให้เพิ่มขึ้นเร็วกว่า คาดว่าในอีก 5 ปีน่าจะต้องเร่ง “สะสมส่วนต่างระหว่างรายรับกับร่ายจ่าย” ให้ได้อย่างน้อย 700-1,000 ล้านเหรียญ
เร่งเพิ่มรายรับ
สำหรับต้นปี 2565 ลาวสามารถจัดเก็บรายรับได้ 45-46% ของแผนการ เพิ่มขึ้น 2,000 ล้านกีบ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องด้วยมีหลายมาตรการที่รัฐบาลได้ทำ โดยมาตรการด้านรายรับประกอบด้วย 1) โมเดิร์นไนซ์ การจัดเก็บรายรับ โดยการใช้ดิจิทัลเพิ่ม efficiency ในการจัดเก็บรายรับ การเพิ่มประสิทธิภาพ “บังคับใช้” กฎหมาย จะช่วยเพิ่มรายรับอีก 10% ของรายรับที่เราเก็บ ณ ปัจจุบัน
2) ขยายฐานการจัดเก็บรายได้ภาษี เช่น กฎหมาย VAT กำลังเร่งดึงรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ เข้ามาในระบบมากขึ้น และการเพิ่มฐานการจัดเก็บรายรับใหม่จาก “แร่ธาตุ” ต่าง ๆ เพราะราคาโภคภัณฑ์สูงขึ้น อย่างแร่เหล็กในตลาดโลก และแร่แรร์เอิร์ธที่จีนก็ผลิตลาวก็มี
และยังมีหินมาร์เบิล ถือเป็นรายได้ที่น่าจะมีโพเทนเชียล ลาวจึงได้นำร่อง Pilot Project ผ่านสภา แล้วจะใช้ถึงสิ้นปีมีการมอบหลักทรัพย์ค้ำปะกันให้รัฐบาลล่วงหน้า เบื้องต้นจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่ม 30-40 ล้านเหรียญ
3) รายได้จากค่าธรรมเนียมรถไฟจีน-ลาว รัฐบาลจะได้ 100 เหรียญ/คอนเทนเนอร์ ไม่เพียงเท่านั้น รถไฟยังเป็นทิศทางบวกหลายด้าน เช่น ช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งลง 30-40% การโปรโมตเทรดการส่งออกสินค้าต่าง ๆ ไปจีน ในตรงนี้มีการเซ็นสัญญาระหว่างบริษัทลาวและทางจีนมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านเหรียญที่จะส่งออกบรรดาสินค้าเกษตรไปให้จีน
และจีนก็เพิ่มโควตาให้ลาว เป็นช่วงเริ่มต้นในช่วงที่จีนยังไม่เปิดประเทศเต็มร้อย การลงทุนในดรายพอร์ตและโลจิสติกส์ต่าง ๆ และเขตเศรษฐกิจพิเศษ จะช่วยเพิ่มปริมาณการค้า การขนส่ง และการส่งออกได้มากขึ้น ยังไม่รวมโพเทนเชียลจากการท่องเที่ยวที่เริ่มคึกคักขึ้นด้วย
4) นอกจากนี้ รัฐบาล สปป.ลาวยังอนุญาตให้ทำ Pirot Project บิตคอยน์ไมนนิ่งกับ 3-4 เจ้าที่มีการขุดที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า 30-40 เมกะวัตต์ (MW) ต่อ 1 แห่ง ทำให้มีรายได้จากการขายไฟและ VAT จากการขยายไฟฟ้า แต่อย่างไรก็ตาม สปป.ลาวยังไม่อนุญาตให้มีการ “เทรดบิตคอยน์” เพราะอยู่ระหว่างการพัฒนากฎหมาย
นอกจากนั้น รัฐบาลยังร่างและทบทวนกฎหมายใหม่หลายฉบับ เช่น กฎหมาย Tax Law Asset Law และปรับอัตราการเก็บ Excite Tax จากสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น แอลกอฮอล์ต่าง ๆ ทำให้ปีนี้สามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มสูงกว่าปีก่อน
ช่วยลดรายจ่าย
ส่วนด้านการ “ลดรายจ่าย” ประกอบด้วย 1) รัฐได้ประมูลซื้อรถไฟฟ้า (EV) สำหรับรถบริหารทั่วไป เพื่อลดต้นทุนพลังงาน 2) การปรับโครงสร้างของรัฐด้วยการ “ยุบเลิก” กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปรวมกับกระทรวงอื่น ยกเลิกกรมและแผนกงานที่ไม่จำเป็น เพื่อลดจำนวนข้าราชการ มีการรับข้าราชการใหม่ไม่ถึงครึ่งของจำนวนที่รีไทร์ออกไป เป้าหมายเพื่อลดรายจ่าย และ 3)ลดการใช้อุปกรณ์สำนักงานสิ้นเปลืองลง
ส่วนปัญหาเงินเฟ้อ เกิดจาก “ต้นทุน” ของการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีราคาเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าเงินกีบผันผวน มาตรการที่จะนำมาใช้ก็คือ คุมให้อยู่ระดับคงที่ก่อน และต้องมีแหล่งเงินตราต่างประเทศที่จะเข้ามา
ฉะนั้น เราคิดว่าการส่งออกสินค้าต่าง ๆ จะส่งออกมากช่วงปลายปี ก็จะมีการนำเข้าเงินสกุลที่เข้มแข็งมาเพิ่ม ก็จะช่วยปรับอัตราแลกเปลี่ยนให้ดีขึ้น
โดยได้ปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ จากเดิมไม่เกิน 5% หรือสูงเกินกว่า GDP แต่จากปัจจัยต่าง ๆ ที่มากระทบ ทำให้ต้องปรับเงินเฟ้อไม่ให้เกิน 2 หลัก และปีหน้าจะพยายามคุมให้ลดลงมาอีก