ประวิตร สั่งเตรียม 10 ทุ่งรับน้ำเหนือ คุมน้ำไหลผ่านเจ้าพระยาไม่เกิน 2,700 ลบ.ม./วินาที

“ประวิตร” นำทีมลงพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา สั่งเร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว เดินหน้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เตรียมใช้ 10 ทุ่งพื้นที่ลุ่มต่ำเป็นพื้นที่รับน้ำ โดยผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ชี้ล่าสุดปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในปีนี้ยังน้อยกว่าปี’54 และปี’64 กรมชลประทานกำชับควบคุมน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาต้องไม่เกินอัตรา 2,700 ลบ.ม./วินาที

วันที่ 3 ตุลาคม 2565 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ลงพื้นที่ตรวจราชการและติดตามการดำเนินการโครงการด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่จังหวัดชัยนาทและพระนครศรีอยุธยา

โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท กล่าวต้อนรับ นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รายงานสถานการณ์น้ำและสรุปการดำเนินการของศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง อธิบดีกรมชลประทาน รายงานแนวทางการบริหารจัดการน้ำหลากในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง

               

อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรายงานสถานการณ์อุทกภัยในภาพรวมและการช่วยเหลือในพื้นที่อุทกภัย และผู้แทนกระทรวงกลาโหม รายงานสรุปการสนับสนุนศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลางและการช่วยเหลือในพื้นที่อุทกภัย ณ สำนักงานชลประทานที่ 12 อ.สรรพยา จ.ชัยนาท

ประวิตร สั่งเตรียม 10 ทุ่งรับน้ำเหนือ
ประวิตรสั่งเตรียม 10 ทุ่งรับน้ำเหนือ

หลังจากนั้น ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์เขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณอำเภอป่าโมก จ.อ่างทอง และสถานการณ์น้ำแม่น้ำน้อย บริเวณที่ว่าการอำเภอเสนา จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมลงพื้นที่วัดโบสถ์ (ล่าง) อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อรับทราบรายงานสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ และพบปะให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัย

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากอิทธิพลพายุ “โนรู” ทำให้ฝนตกหนักมากและเกิดน้ำหลากน้ำท่วมขังที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ของประเทศ รัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมวางแผนป้องกันและรับมือล่วงหน้าโดยการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย จำนวน 2 ศูนย์ ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.อุบลราชธานี และภาคกลาง จ.ชัยนาท

โดยในวันนี้ได้ลงพื้นที่ติดตามการทำงานของศูนย์ ที่ จ.ชัยนาท เพื่อรับทราบผลการดำเนินงานและปัญหาอุปสรรคในการทำงานของศูนย์ ทั้งนี้ รัฐบาลมีความเป็นห่วงประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และขอให้ทุกหน่วยงานสนับสนุนการทำงานของศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย เพื่อให้เกิดการบูรณาการในการทำงานอย่างเป็นเอกภาพ เร่งแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประวิตรตรวจน้ำท่วมภาคกลาง

นอกจากนี้ได้สั่งการให้จังหวัด กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว รวมถึงให้ทางจังหวัดบูรณาการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง พิจารณามาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงให้วางแผนเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้าด้วย

โดยให้ สทนช.ประสานงานกับกระทรวงเกษตรฯ พิจารณาแผนการปลูกพืชในพื้นที่ลุ่มต่ำที่ใช้เป็นพื้นที่รับน้ำหลาก เพื่อป้องกันความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร และเตรียมแผนการส่งน้ำเข้าทุ่ง เพื่อช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ รวมทั้งต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบล่วงหน้าด้วย ควบคู่การแก้ไขปัญหาด้านน้ำอย่างยั่งยืน มอบหมายให้ สทนช.เร่งรัดขับเคลื่อนแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้ง-น้ำท่วม เพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำในระดับพื้นที่ และมอบหมายกรมชลประทานเร่งรัดการก่อสร้างคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

ประวิตรตรวจน้ำท่วมภาคกลาง

ด้าน เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาล่าสุด ( 3 ต.ค. 65 ) มีปริมาณน้ำในแหล่งน้ำต้นทุนทั้ง 4 เขื่อน คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำ 18,057 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็น 73% ของปริมาณการกักเก็บ และยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 6,814 ล้าน ลบ.ม. โดยการระบายน้ำ ณ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา อยู่ที่ 2,643 ลบ.ม./วินาที ซึ่งพบว่าน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี’54 ที่ระบายในอัตรา 3,628 ลบ.ม./วินาที และยังน้อยกว่าปี’64 อัตรา 2,776 ลบ.ม./วินาที

แม้ว่าปริมาณฝนปีนี้จะใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2554 แต่ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำ การกำหนดแผนปฏิบัติการป้องกันล่วงหน้าตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนที่ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างเข้มข้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ เขื่อนทุกขนาด และพื้นที่แก้มลิง เพื่อชะลอน้ำหลากในพื้นที่ตอนบนให้ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้น้อยที่สุด

อย่างไรก็ตาม ยังอาจจะมีผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกันน้ำบ้าง ซึ่งได้มีการประชาสัมพันธ์แจ้งให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีพื้นที่ประสบอุทกภัยรวม 32 จังหวัด อาทิ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงราย ลำปาง เชียงใหม่ สุโขทัย ชัยภูมิ ขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา ลพบุรี เพชรบูรณ์ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ชัยนาท ชลบุรี และพังงา เป็นต้น

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ตลอดในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา มีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ทางตอนบนและตอนล่างของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำให้มีปริมาณน้ำจากลำน้ำสาขาไหลลงสู่เเม่น้ำสายหลัก (แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน) เพิ่มสูงขึ้น ก่อนจะไหลมารวมกับแม่น้ำสะเเกกรัง ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่า ในระยะนี้จะยังคงมีฝนตกชุกในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบัน (3 ต.ค. 65) ที่สถานี C.2 อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,775 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วินาที กรมชลประทาน จำเป็นต้องบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำฝน-น้ำท่า จึงได้พิจารณารับน้ำเข้าคลองฝั่งตะวันตกและตะวันออกรวม 335 ลบ.ม./วินาที และควบคุมให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาไม่เกินอัตรา 2,700 ลบ.ม./วินาที ตามประกาศของกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ฉบับที่ 45/2565

ทั้งนี้ กรมชลประทานจะใช้ระบบชลประทานทางฝั่งตะวันตกของลุ่มน้ำเจ้าพระยา เร่งระบายน้ำลงสู่ทะเล และฝั่งตะวันออกระบายลงสู่แม่น้ำนครนายกและแม่น้ำบางปะกง และคลองชายทะล ระบายลงสู่ทะเลอ่าวไทยให้เร็วที่สุด