ขอตั้งกองทุนสวัสดิการ SME ปลดล็อก 2.1 ล้านธุรกิจพ้นบ่วงหนี้ NPL

แสงชัย ธีรกุลวาณิช

สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยวอนรัฐกู้ชีพรายย่อย 2.1 ล้านราย ติด NPL ชง “แก้หนี้วาระแห่งชาติ” ด้วย 7 ข้อเสนอสำคัญ ย้ำอย่ามองแต่ New S-Curve แต่ให้หันไปสู่ BCG หวังปลดล็อกเงื่อนไขการใช้เงินกองทุน ลุ้นรัฐตั้งกองทุนสวัสดิการ 10,000 ล้าน เป็นของขวัญปีใหม่

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า ขณะนี้เตรียมเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้พิจารณารับเรื่อง “แก้หนี้เป็นวาระแห่งชาติ” หลังจากที่สมาพันธ์ได้มีการระดมความเห็นสมาชิก ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) พบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเกิดปัญหาวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจ SMEs ประสบปัญหาผิดนัดชำระหนี้จนกลายเป็นหนี้เสีย (NPL) มากถึง 2.6 ล้านบัญชี หรือ 2.1 ล้านราย

และหากพิจารณาตามกฎเกณฑ์ของสถาบันการเงิน SMEs กลุ่มนี้จะ “ติดล็อก” เครดิตบูโร ประสบปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนถึง 70% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพราะในปัจจุบัน SMEs มีสัดส่วนการขับเคลื่อน GDP ถึง 35% มูลค่า 5.5 ล้านล้านบาท จึงเตรียมนำข้อเสนอและแนวทางยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน SMEs ให้รัฐบาลพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วน 7 ด้าน

“SMEs เปรียบเสมือนเส้นเลือดฝอยของระบบเศรษฐกิจ หลาย ๆ ธุรกิจเคยมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ต้องประสบปัญหาช่วงโควิด-19 เมื่อไม่มีรายได้จากที่เคยเป็นลูกหนี้ชั้นดีมาตลอด ผิดนัดชำระหนี้เพียงไม่กี่ครั้ง ก็ต้องกลายเป็นหนี้เสีย (NPL) ไปเลยทันที ทั้งที่ตลอดหลาย ๆ ปีเขาไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ ดังนั้นจะถูกขึ้นบัญชีเครดิตบูโร ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงินจำเป็นจะต้องช่วยพวกเขา หาแนวทางแก้ไข ไม่ควรใช้วิธีปรับโครงสร้างหนี้เพียงอย่างเดียว แต่ควรปรับกฎเกณฑ์ใหม่ จำเป็นต้องดูประวัติย้อนหลัง เช่น 1 ปีที่ผ่านมาหรือ 3 ปีที่ผ่านมา เมื่อไม่เคยผิดนัดชำระหนี้เลยควรต้องผ่อนผันให้ไม่ใช้เกณฑ์เดียวกันกับผู้ผิดนัดชำระหนี้แบบรายอื่นเหมารวมทั้งหมด เพราะการใช้วิธีนี้จะทำให้ SMEs ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและในท้ายที่สุดเขาก็ต้องปิดกิจการ ไม่สามารถทำธุรกิจต่อไปได้”

สำหรับ 7 ข้อเสนอเร่งด่วน ประกอบด้วย 1) ให้กำหนดการแก้หนี้เป็นวาระแห่งชาติ 2) ดึงกองทุนตามแนวประชารัฐ (20,000 ล้านบาท) ออกจากกระทรวงอุตสาหกรรมและปรับเกณฑ์ใหม่ให้มุ่งสู่ BCG ไม่ใช่ S-curve 3) ยกเลิกการตรวจสอบเครดิตบูโรและให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ควบคู่ไปกับการยกระดับขีดความสามารถแรงงานหรือสร้างเครดิตการค้า ซึ่งสามารถนำไปยื่นประกอบการขอสินเชื่อให้สถาบันการเงินพิจารณา (Credit Scoring) ได้ 4) กระจายอำนาจด้านพลังงาน โดยปรับโครงสร้างพลังงานสีเขียว ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงหลัก 75% และฟอสซิลเหลือ 25% เป็นการลดต้นทุนในระยะยาว 5) ปรับมาตรการคนละครึ่ง ให้เฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้น้อยเท่านั้น 6) ให้ลดเครดิตเทอมเหลือ 15-30 วัน จาก 60-90 วัน และ 7) จัดตั้งกองทุนสวัสดิการเอสเอ็มอีไทย

“ในการหารือสมาชิกเสนอให้รัฐตั้งกองทุนสวัสดิการ SMEs ไทย วงเงิน 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นรูปแบบให้ผู้ประกอบการ SMEs ตามมาตรา 40 (ม.40) ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10.7 ล้านคน เป็นของขวัญ โดยจะส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อออม ขณะเดียวกันก็ได้รับสวัสดิการต่าง ๆ ทั้งด้านสุขภาพและความช่วยเหลืด้านอื่นตามสวัสดิการของประกันสังคมทั้งนี้ยังให้กองทุนฯดังกล่าวมีรูปแบบบริหารที่ออกแบบเองได้เหมาะสมกับธุรกิจ SMEs”

ส่วนกองทุนตามแนวทางประชารัฐที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการ กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนไปยังอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) พูดถึงอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ การบิน หรือแม้แต่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เหล่านี้ SMEs เข้าถึงยาก เนื่องจากศักยภาพบวกกับเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่จะปล่อยเงินกู้หรือสินเชื่อให้กับเฉพาะ SMEs ที่เป็นนิติบุคคล โดยอิงจากทุนจดทะเบียนเท่านั้น เป็นการเปิดช่อง SMEs รายใหญ่สามารถเข้ามาใช้เงินกองทุนฯนี้ได้ จึงไม่ได้ตอบสนองหรือช่วย SMEs อย่างแท้จริง

ดังนั้นสมาพันธ์เห็นว่า กองทุนตามแนวทางประชารัฐต้องดึงออกจากกระทรวงอุตสาหกรรมและปรับกฎเกณฑ์ใหม่จาก S-curve เป็น BCG หรือเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) ให้รายย่อยใช้มากขึ้น เป็นซัพพลายเชนกับรายใหญ่ มีการจับคู่ธุรกิจ ควบคู่ไปกับการให้ธนาคารลดเกณฑ์ลง แต่ยังคงเป้าหมายเพื่อการพัฒนาและฟื้นฟูไว้เช่นเดิม ปรับโครงสร้างการบริหาร ลดสัดส่วนราชการ เพิ่มสัดส่วนองค์กรภาคเอกชนให้มีบทบาทมากขึ้น และใช้กลไกของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ดึงเอา พ.ร.บ.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศหรือกองทุน 10,000 ล้านบาทมาใช้ประโยชน์ โดยหลังจากยื่นข้อเสนอนี้แล้วทางสมาพันธ์จะจัดงาน STEP 4 ระหว่างวันที่ 15-17 ธ.ค. 2565 เป็นช่องทางสื่อไปถึงภาครัฐโดยตรง

“ผมหวังว่าการผลักดันวาระแก้หนี้ครั้งนี้จะไม่ถูกละเลย และหวังที่จะเห็นกองทุนสวัสดิการ SMEs ไทย 10,000 ล้านบาท เป็นของขวัญเช่นกัน”