
สถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยอยู่ที่ระดับ 54.8 เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา เอกชนชี้มาตรการกระตุ้น Easy E-Receipt ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 2567 บวกแรงหนุนจากท่องเที่ยว ฟรีวีซ่า
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC-CI) เดือนมกราคม 2567 ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจและหอการค้าทั่วประเทศ ทั้งในภูมิภาคและแต่ละจังหวัด จำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 24-31 มกราคม 2567 พบดัชนีหอการค้าไทย อยู่ที่ระดับ 54.8 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 54.7 ในเดือนธันวาคม 2566

โดยการสำรวจสถานการณ์เศรษฐกิจของจังหวัด พบว่าเศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบัน 37.9 มองว่าไม่เปลี่ยนแปลง 36.5 มองว่าดีขึ้น และ 25.6 มองว่าแย่ลง ขณะที่การบริโภคภายในจังหวัดส่วนใหญ่ 48.6 มองว่าดีขึ้น การลงทุนของภาคเอกชนส่วนใหญ่ 46 มองว่าแย่ลง การท่องเที่ยวส่วนใหญ่ 52.2 มองว่าแย่ลง
ขณะที่การคาดการณ์หกเดือนข้างหน้าเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัด ส่วนใหญ่ 49.7 มองว่าดีขึ้น การบริโภคภายในจังหวัด ส่วนใหญ่ 52.3 มองว่าดีขึ้น การลงทุนของภาคเอกชนในจังหวัดส่วนใหญ่ 49.5 มองว่าดีขึ้น การท่องเที่ยวในจังหวัดส่วนใหญ่ 48.5 มองว่าแย่ลง
นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในแต่ละภูมิภาค
- กรุงเทพฯ และปริมณฑล ดัชนีอยู่ที่ 54.5 เพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 54.2
- ภาคกลาง ดัชนีอยู่ที่ 54.8 เพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 54.7
- ภาคตะวันออก ดัชนีอยู่ที่ 57.4 เพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 57.3
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดัชนีอยู่ที่ 53.6 เพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 53.4
- ภาคเหนือ ดัชนีอยู่ที่ 55.0 เพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 54.7
- ภาคใต้ ดัชนีอยู่ที่ 53.9 เพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค. ซึ่งอยู่ที่ 53.7
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้า
ปัจจัยบวก ได้แก่
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2567 เช่น มาตรการ Easy E-Receipt ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 2567
- นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมากขึ้นในช่วงของเทศกาลปีใหม่ ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น
- การยกเว้นการยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวให้กับบางประเทศ เป็นการช่วยลดค่าครองชีพในการดำเนินชีวิต และการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ดีขึ้น
- ภาคท่องเที่ยวและบริการภายในประเทศเริ่มดีขึ้น ผลมาจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลำเนา
- การส่งออกของไทยเดือน ธ.ค. 2566 ขยายตัว 4.7% มูลค่าอยู่ที่ 22,791.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การนำเข้าลดลง 3.1% มีมูลค่าอยู่ที่ 21,818.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เกินดุลการค้า 972.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศยังคงอยู่ในระดับทรงตัว โดยอยู่ที่ระดับ 29.94 บาท/ลิตร ณ สิ้นเดือน ม.ค. 67
- ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้นหรือทรงตัว ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น และมีกำลังซื้อในต่างจังหวัดเริ่มปรับตัวดีขึ้น
ปัจจัยลบ ได้แก่
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 โดยคาดว่าจะขยายตัว 1.8% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.7% ส่วนในปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.8%
- ความกังวลสถานการณ์ตะวันออกกลาง จากกองกำลังอิสราเอลที่ยังคงทำการโจมตีทางอากาศในฉนวนกาซา ซึ่งอาจจะยืดเยื้อ ส่งผลให้ราคาน้ำมัน และพลังงานโลกยังทรงตัวสูง
- ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวอยู่ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักยังคงมีความไม่แน่นอนสูง อาทิ จีน สหรัฐ และยุโรป
- สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่มากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมกลางแจ้งในบางพื้นที่ และกระทบต่อสุขภาพของประชาชนที่สูดหายใจเข้าไป
- ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับ 34.976 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2566 เป็น 35.186 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน ม.ค. 2567 สะท้อนว่ามีการไหลออกสุทธิของเงินตราต่างประเทศ
- SET Index เดือน ม.ค. 2567 ปรับตัวลดลง 51.33 จุด จาก 1,415.85 ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2566 เป็น 1,364.52 ณ สิ้นเดือน ม.ค. 2567
- ความกังวลในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลที่อาจมีความล่าช้า และความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศ
- ความกังวลต่อสถานการณ์เอลนีโญ และภัยแล้ง ที่จะส่งผลกระทบในระยะยาว และกระทบต่อความต้องการใช้น้ำในภาคการเกษตร และเพื่อการอุปโภค-บริโภค
- ราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 95 ในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2.30 บาท/ลิตร อยู่ที่ระดับ 35.78 และ 37.55 บาท/ลิตร ณ สิ้นเดือน ม.ค. 2567
อย่างไรก็ดี ภาคธุรกิจได้เสนอแนะแนวทางต่อรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหา ได้แก่
- มาตรการจัดการแก้ไขบริหารการใช้น้ำให้เหมาะสมต่อภาคการเกษตร และการบริโภคของประชาชน
- การแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากร โดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อเลี่ยงภาษี ทำให้สินค้าราคาถูก รวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้ามากระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้
- การผ่อนปรนเงื่อนไขในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบของภาคธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และสภาพคล่อง
- นโยบายการช่วยเพิ่มศักยภาพ และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจเอกชน ตลอดจนส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมกับธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง