แม่ทัพซี.พี.พร้อม 100% อภิมหาโครงการ 3.4 แสนล้าน เซ็นสัญญารถไฟไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน มิกซ์ยูสยักษ์มักกะสัน เปิดใจต้องทำให้สำเร็จขอเดินหน้าเพื่อประเทศทั้งที่มีความเสี่ยงสูง เชื่อช่วยยกระดับความเจริญประเทศไทยอีกขั้น รับต้องแก้ปมเพดานเงินกู้ ระดมเงินทั้ง “ไทย-เทศ” ก่อนก่อสร้าง ลุ้นพัฒนาเมืองการบิน “อู่ตะเภา” มุ่งลงทุน 4 ธุรกิจดาวรุ่ง
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (เครือ ซี.พี.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงการลงทุนของเครือ ซี.พี.ในโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเครือ ซี.พี.ได้เข้าร่วมประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. มูลค่ากว่า 2.2 แสนล้านบาท เป็นโครงการแรกและเป็นผู้ชนะ ล่าสุดการเจรจาร่วมลงทุนจบทุกขั้นตอนแล้ว พร้อมจะเซ็นสัญญาในทันทีหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการ นับเป็นการลงทุนโครงการใหญ่ที่ท้าทาย เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง
ไฮสปีดใหญ่สุดต้องทำให้สำเร็จ
- ไทยสมัครสมาชิก OECD อย่างเป็นทางการแล้ว หวังยกระดับประเทศ-ช่วยเศรษฐกิจโต 1.6%
- ตรวจหวย ใบตรวจหวย ผลรางวัล สลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน 2567
- ภูเก็ตแหล่งน้ำดิบส่อวิกฤตน้ำ ภาคธุรกิจท่องเที่ยว-โรงแรม ยอดใช้ประปาพุ่ง
“โครงการนี้รัฐและเอกชนร่วมลงทุน PPP ระยะเวลา 50 ปี ที่เราตัดสนใจลงทุน เพราะมองว่าถ้าเอกชนมีกำลังพอ คิดว่าบริหารความเสี่ยงได้ ทำไมไม่ทำให้ประเทศ ทำให้การพัฒนาระบบเศรษฐกิจยั่งยืนและดีขึ้น เราไม่ได้ทำคนเดียว ร่วมกับพันธมิตรในประเทศ จีน ญี่ปุ่น และยุโรป”
ทั้งนี้ ตลอดการเจรจาที่ใช้เวลานาน เนื่องจากโครงการมีความยากมาก และผลตอบแทนไม่สูง เนื่องจากมีปัจจัยอื่นที่ทำให้อีอีซีเกิดไม่ใช่รถไฟความเร็วสูงอย่างเดียว เช่น สนามบิน แต่โครงการมีผลตอบแทนต่อประเทศสูง และมีความสำคัญ ซึ่งทางกลุ่ม ซี.พี.จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ แต่ถ้าโปรเจ็กต์ไม่สำเร็จอย่างที่วางไว้ อย่างน้อยก็ประเทศที่ได้ประโยชน์ เกิดความสะดวกสบายการเดินทาง การพัฒนาเมือง ดึงการลงทุนลงพื้นที่อีอีซีในโซนที่มีโครงสร้างพร้อม เป็นการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและระบบนิเวศของประเทศ
“ถามว่าไฮสปีดเทรนเป็นโครงการใหญ่ที่สุดหรือไม่ ถ้านับการลงทุนของทรูถึงวันนี้ ทรูใหญ่กว่า แต่ถ้าถามว่าเป็นวันไทม์โปรเจ็กต์ ถือว่าใหญ่สุด เพราะทรูถือว่าการลงทุนสะสมไปเรื่อย ๆ แต่โครงการนี้โปรเจ็กต์เดียวถือว่าใหญ่ที่สุด และเป็นงานลักษณะเดียวกับที่เราเคยลงทุนระบบสาธารณูปโภคก่อนหน้านี้เป็น BTO แต่ยังไม่เคยลงทุนรถไฟเท่านั้น นับว่าเป็นความเชี่ยวชาญหนึ่งของเครือ ซี.พี.ที่สามารถบริหารได้หลายอุตสาหกรรม” นายศุภชัยกล่าวและว่า
อย่างไรก็ตาม เครือ ซี.พี.จะมุ่งลงทุนรถไฟความเร็วสูงในอีอีซีเป็นโครงการหลัก ยังไม่ได้มองไกลจะทำเป็นแผนลงทุนพัฒนาไปเรื่อย ๆ เนื่องจากโครงการนี้มีความสำคัญกับอีอีซี และอีอีซีมีความสำคัญกับประเทศ และเป็นโครงการที่รัฐมีนโยบาย PPP ลงมาให้ร่วมมือกับรัฐดำเนินการ เมื่อชนะก็ต้องเดินหน้า
“โครงการใช้เงินประมาณ 2.2 แสนล้านบาท เป็นเงินลงทุนก่อสร้าง งานระบบและขบวนรถไฟ 1.7 แสนล้านบาท มีเงินสนับสนุนจากรัฐประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ยังเหลือ 1 แสนล้าน จะเป็นเงินทุนหมุนเวียน 35,000 ล้านบาท และเป็นหนี้อีก 65,000 ล้านบาท หลังเซ็นสัญญาเราจะใช้เงินก้อนแรก 4,000 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเฉพาะกิจ หรือเอสพีวี เดินหน้าโครงการ จากนั้นทยอยเพิ่มทุนจนครบตามที่กำหนดในทีโออาร์”
เร่งเคลียร์แหล่งเงินทุน
นายศุภชัยกล่าวอีกว่า แม้ว่ารัฐจะสนับสนุนค่างานก่อสร้าง แต่จ่ายปีที่ 6 เป็นต้นไป ซึ่งเอกชนจะต้องหาเงินลงทุนทั้งหมดตั้งแต่เริ่มโครงการ โดยสามารถนำสัญญาโครงการจากรัฐไปเป็นหลักประกันจัดหาแหล่งเงินกู้ได้ ทำให้การทำงานที่ผ่านมาเน้นการเงินมาก ในช่วงการเจรจากับรัฐและหารือกับพาร์ตเนอร์หลังรัฐไม่รับเงื่อนไข กว่าจะสรุปลงตัวก็ใช้เวลาพอสมควร
“ถ้าไม่เคลียร์ เรื่องการเงินไม่จบ หากได้โครงการมาแล้ว ไม่สามารถระดมเงินลงทุนได้ จะทำให้โครงการไม่สำเร็จ ตอนนี้ผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้ว แต่ไม่ได้ราบรื่นเสียทีเดียว ต้องลงรายละเอียดอีก เพราะข้อตกลงต่าง ๆ เป็นแค่หลักการ ต้องมาดูเรื่องการระดมทุน หาเงินกู้มาลงทุนโครงการ ตั้งเป้าจะให้จบใน 6 เดือน หรืออาจจะเร็วกว่านั้น จากนั้นถึงจะเริ่มงานก่อสร้างได้”
สำหรับแหล่งเงินทุน นายศุภชัยกล่าวว่า ที่เจรจามาด้วยตลอดมีทั้งธนาคารไทยที่เป็นธนาคารรัฐและธนาคารพาณิชย์ มีองค์การเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิก) ของญี่ปุ่น และธนาคาร CDB ของจีน เพราะทั้ง 2 ประเทศนี้ส่งเสริมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานอยู่แล้ว จะเข้าใจว่าผลตอบแทนโครงการไม่สูง ทำให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างดี ส่วนเรื่องการปล่อยกู้โครงการขนาดใหญ่ก็สามารถขอธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นรายโครงการได้ เพราะเป็นโครงการของประเทศและเป็นโครงการที่รัฐร่วมกับเอกชน สามารถจะพิจารณานอกกรอบปกติได้
“ก่อนหน้านี้ที่เสนอเงื่อนไขการเงินในซองที่ 4 เพราะคิดว่าเป็นเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐ เพราะหากจ่ายเงินชดเชยเร็วขึ้น เราจะสามารถลดต้นทุนดอกเบี้ย และมาลดราคาให้กับรัฐ ทำให้ภาระการระดมทุนลดน้อยลงไป แต่คณะกรรมการคัดเลือกค่อนข้างเข้มงวดก็ไม่เป็นไร เป็นความเสี่ยงที่เราต้องมาบริหารจัดการเอง”
อู่ตะเภาตัวช่วยหนุน
ทั้งนี้ ยอมรับว่าโครงการเสี่ยงสูง แต่จะเสี่ยงกี่ปี ต้องรออีก 5 ปีหลังสร้างเสร็จ ถึงจะรู้ว่าผู้โดยสารมาใช้บริการเท่าไหร่ ต้องไปดูตลาดจริง ๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งอุตสาหกรรม เมกะโปรเจ็กต์ที่จะเกิด เช่น สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือแหลมฉบัง มาบตาพุด เศรษฐกิจขยายตัวหรือไม่ ดูปัจจัยที่ทำให้อีอีซีเกิดในแง่ของคนเดินทาง และทำงานในอีอีซีมากขึ้น ขนาดของเมืองที่จะเปลี่ยน ถ้ามองเฉพาะข้อมูลทั่วไป เช่น ประชากรในพื้นที่ จีดีพีของประเทศ ถ้ามองแค่นั้น เหนื่อย บีบหัวใจเลย จะเบรกอีเวนต์กี่ปีต้องศึกษา เช่น 7-8 ปี 10-15 ปี ต้องดูปัจจัยหลายอย่างมาประกอบกัน จะทำให้สามารถออนท็อปเข้าไป จึงทำให้กลุ่ม ซี.พี.ยื่นประมูลสนามบินอู่ตะเภา เพื่อให้โครงการสนับสนุนกันและกัน
“อู่ตะเภาถ้าไม่ใช่เราลงทุนจะเพิ่มความเสี่ยงหรือไม่ โดยส่วนตัวขอให้เกิดเถอะ จะเป็นใครก็ได้ ขอให้ร่วมมือกันได้ แน่นอนเรามีในใจว่า พัฒนาอู่ตะเภาเป็นฮับ สนามบินนานาชาติ เป็นคอมเมอร์เชียลเกตเวย์ มีโรงแรม ค้าปลีก เป็นเดสติเนชั่นของทัวริสต์ ผู้ประกอบการต่าง ๆ จะทำให้โครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูงดีขึ้น และทำให้การพัฒนาพื้นที่โดยรอบ เช่น สัตหีบ พัทยา ได้รับอานิสงส์ไปด้วย เพราะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเข้าไปทำให้ภูมิทัศน์ของเมืองเปลี่ยน เดินทางสะดวกใน 40-45 นาที แต่ถ้าคนลงทุนโครงการมองว่าไม่ใช่ จะเป็นอีกแบบหนึ่ง” นายศุภชัยกล่าวและว่า
“สมมุติเราไม่ได้ ก็ต้องทำใจไว้แล้วว่า รถไฟความเร็วเร็วสูงต้องยืนพื้นไปให้ได้ จะมีแผนสำรอง เป็นเครดิตไลน์ที่จะมาช่วยบริษัท เราคุยกับเจบิก CDB รวมถึงเอ็กซิมแบงก์ มาช่วยจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ กรณีปริมาณผู้โดยสารไม่เป็นไปตามเป้า ถ้าเราแพ้อู่ตะเภา ต้องคุยกับผู้ชนะ เรามีแผนพัฒนาแบบนี้ คิดอย่างไร ต้องคุยกัน เขาก็ต้องพึ่งเราที่จะป้อนคนไปสนามบิน ทำแล้ววิน-วิน ซึ่งเมืองการบินมีข้อดี คือ คาพาซิตี้ของสนามบินเป็นไปตามทราฟฟิกจริง สามารถทยอยลงทุนเป็นเฟส ๆ ได้ แต่รถไฟต้องทุ่มลงทุนไปเลย 5 ปี”
ทุ่ม 1.2 แสนล้านพัฒนามักกะสัน
นายศุภชัยกล่าวถึงแผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสถานีรถไฟความเร็วสูงว่า จะโฟกัสที่สถานีมักกะสัน พื้นที่ 150 ไร่เป็นลำดับแรก เพราะอยู่ในเงื่อนไขของสัญญาที่จะได้รับการส่งมอบ ส่วนสถานีอื่นยังเป็นแค่พื้นที่สถานี ไม่มีพื้นที่พัฒนา ต้องรอการรวบรวมพื้นที่ ซึ่งจะเป็นแผนระยะถัดไป
“สถานีมักกะสันพัฒนาเป็นมิกซ์ยูส ใช้เงินลงทุนประมาณ 1.4 แสนล้านบาท มาจากเงินกู้และระดมทุนจากพันธมิตร เพราะการลงทุนแบ่งเป็นโซนนิ่ง ดูว่าใครสนใจโซนไหน อาจจะมีพาร์ตเนอร์แต่ละโซน ซึ่งแนวคิดการพัฒนาโครงการเรามีแมกโนเลียเป็นพันธมิตรมาช่วยด้านออกแบบมาสเตอร์แพลนให้ ตั้งเป้าให้มักกะสันเป็นทำเลที่สร้างประโยชน์สูงสุดให้กับโครงการและกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นออฟฟิศ สำนักงาน ส่วนหนึ่งจะเป็นตลาดของนักท่องเที่ยวเพราะเชื่อม 3 สนามบิน เช่น พื้นที่คอมเมอร์เชียล”
มุ่งลงทุน 4 ธุรกิจใหม่
นายศุภชัยกล่าวถึงภาพรวมการลงทุนของเครือ ซี.พี.ใน 1-3 ปี เนื่องจากเป็นบริษัทลงทุนจะรักษามาตรฐานการลงทุนและบริหารความเสี่ยงการลงทุนไว้อย่างต่อเนื่องในหลากหลายอุตสาหกรรม ธุรกิจที่เครือคุ้นเคยจะลงทุนมาก ไม่คุ้นเคยจะลงทุนน้อยและมีพาร์ตเนอร์ร่วม เช่น กรณีรถไฟความเร็วสูง ก็เป็นเรื่องการลงทุนในสาธารณูปโภคและโลจิสติกส์ มีพาร์ตเนอร์คือ FS จากอีตาลี ที่เชี่ยวชาญเดินรถไฟร่วมด้วย
“แนวโน้มเครือขยับไปแนวนี้มากขึ้น การลงทุนใหม่ ๆ ที่สนใจ คือ 1.โลจิสติกส์ ไม่ว่าสนามบินหรือรถไฟ เราวางแผนไว้ 3 ปีที่แล้ว 2.ฟู้ดเทค ไบโอเทค นำไปสู่เรื่องของสุขภาพ 3.AI และออโตเมชั่น คล้าย ๆ IOT และ 4.อีคอมเมิร์ซ จะมาเสริมสิ่งที่ทำอยู่เดิมได้ด้วย”
คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่… “ศุภชัย เจียรวนนท์” เปิดใจ เบื้องหลัง “ธนินท์” นั่งกุนซือ
ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลยพิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat
หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!