“ศุภชัย เจียรวนนท์” เปิดใจ เบื้องหลัง “ธนินท์” นั่งกุนซือ

ในฐานะกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ซึ่งฟอร์บส ประกาศผลการจัดอันดับให้ตระกูลเจียรวนนท์ เจ้าของ “เครือเจริญโภคภัณฑ์” หรือ ซี.พี. ครองอันดับ 1 เศรษฐีเมืองไทย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวม 9.40 แสนล้านบาท

ไม่แปลกที่ความเคลื่อนไหวจะถูกจับจ้องล่าสุด การประกาศอำลาตำแหน่งประธานอาวุโสของ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประมุขเครือ ซี.พี. แถมมีการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างจนกลายเป็นประเด็นฮอต

ท่ามกลางเศรษฐกิจ การเมืองแวดวงธุรกิจจับตาทิศทาง ท่าทีอาณาจักรเครือซีพีต่อสถานการณ์ทั้งภายในภายนอกประเทศเวลานี้อย่างไร

แจงเหตุ “ธนินท์” ลาตำแหน่ง

นายศุภชัยกล่าวถึงการลาออกจากตำแหน่งประธานอาวุโสของนายธนินท์ เจียรวนนท์ด้วยว่า เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสืบทอดตำแหน่ง (success planning) เพื่อให้เวลากับการพัฒนาบุคลากรในสถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์

“ท่านอายุ 80 แล้ว จึงต้องการเปิดทางให้คนรุ่นถัดไปเข้ามาบริหาร ท่านอยากจะไปโฟกัสเรื่องสถาบันผู้นำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านวางแผนไว้ก่อนหน้านี้แต่ดีเลย์มาเรื่อย ๆ ส่วนตำแหน่งอื่นที่มีคนพูดกัน ผมเคยถามท่านบอกว่าท่านทำเป็นแต่เรื่องอุตสาหกรรม เรื่องธุรกิจ ถ้าจะเป็นอย่างอื่น คงไปตั้งแต่อายุห้าสิบแล้ว ไม่ต้องรอไปตอนแปดสิบ”

สำหรับโครงสร้างบริหารงานในเครือ ซี.พี. นายสุภกิต เจียรวนนท์ มีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ และตนเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) ซึ่งถือเป็นแม่ที่ถือหุ้นในบริษัทในเครือ ซึ่งแต่ละบริษัทในเครือจะมีผู้บริหารระดับสูงดูแล

“เราจะอยู่ในหมวกของประธาน หรือกรรมการ ตามกฎระเบียบที่วางไว้ของตลาดหลักทรัพย์ฯ จริง ๆ มีคนในครอบครัวไม่กี่คน เพราะเครือเรามีผู้บริหารระดับสูงเป็นมืออาชีพหมด”

หวั่นเทรดวอร์กระทบธุรกิจ

นายศุภชัยกล่าวถึงปัญหาสงครามการค้า ว่า เครือ ซี.พี.เป็นบริษัทที่มีการลงทุนใน 20 ประเทศ และทำการค้าในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก จึงมีความกังวลกับสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมาได้เข้าไปลงทุนในประเทศจีน และวางแผนจะส่งออกสินค้าที่ผลิตไปยังสหรัฐ ขณะเดียวกันก็เข้าไปลงทุนในอเมริกาและมีแผนส่งสินค้ากลับไปยังจีนเช่นกัน จึงอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว

“เราไม่อยากเห็นบรรยากาศแบบนี้ ไม่มีใครอยากเห็นเทรดวอร์ เราอยากเห็นเศรษฐกิจที่เป็นหนึ่งเดียวมากขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้น เราก็คงต้องทำความเข้าใจ โดยการสื่อสารทั้งภาครัฐของอเมริกา ของจีน หรือแม้แต่ในบ้านเราว่าเราเป็นผู้ลงทุน” 

สำหรับผู้ผลิตสินค้าในประเทศไทยเพื่อส่งออกอาจเป็นโอกาสที่ดี แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ ถ้าอเมริกาหรือจีน ต้องการให้เราเลือกข้างว่าจะอยู่ฝ่ายใด นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด

“ช้างชนกัน ช้างไม่ตาย แต่ผู้ที่อยู่ใกล้ตายเรียบ ซี.พี.ก็เหมือนกัน เทรดวอร์น่ากังวลกว่าปัญหาการเมืองในประเทศ เพราะในบ้านเรายังไงก็มีความยืดหยุ่น และมีจุดยึดเหนี่ยว ไม่แบ่งเป็นขั้วจนไม่มีตัวบาลานซ์ การเมืองโลกจึงน่ากลัวกว่า และเป็นเรื่องที่เราต้องจับตามอง”

ศก.ไทยยังโต แต่ไม่เร็ว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกว่า กลุ่ม ซี.พี.ยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ไม่ได้เติบโตเร็ว ซึ่งภาคธุรกิจในประเทศจะเติบโตได้ดีขึ้นอยู่กับจีดีพีด้วย และการที่จะให้เศรษฐกิจโตได้จะต้องขยายฐานของรายได้ หรือกระจายรายได้ ซึ่งการทำเขตเศรษฐกิจพิเศษ กรณี “อีอีซี” สามารถช่วยได้ เพราะทำให้เกิดอุตสาหกรรมที่สร้างงาน แต่ควรขยายไปยังโซนอื่นของประเทศด้วย ทั้งภาคอีสาน ภาคเหนือ เป็นต้น

“การโซนนิ่งประเทศต้องดูตามภูมิยุทธศาสตร์ อย่างอีสานหนักไปในเรื่องเกษตร ต่อไปจะเชื่อมไปถึงจีนได้ใน 3-5 ปี ถ้าเชื่อมได้จะเกิดเศรษฐกิจในภาคอีสาน”

ฝากการบ้านรัฐบาลใหม่

นายศุภชัยกล่าวด้วยว่า อยากเห็นความต่อเนื่องของยุทธศาสตร์ประเทศไทย และการดำเนินโครงการต่าง ๆ รัฐบาลที่ผ่านมาได้ทำโครงการหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์

“ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนวิสัยทัศน์ แต่สิ่งที่เราขาดแคลน คือ ความต่อเนื่องของยุทธศาสตร์ ดังนั้น ความต่อเนื่องและการมีทีมงานที่รับช่วงทำยุทธศาสตร์ให้เกิดขึ้นได้จริง เป็นสิ่งที่เราต้องทำ รัฐบาลที่ผ่านมาทำหลายเรื่องที่น่าชื่นชม อย่างแรงงานต่างด้าวที่เป็นปัญหาเรื้อรัง เกี่ยวกับชีวิตคนงานหลายล้านคน เมื่อมีการแก้ไขต่อไปคนงานก็จะมีคุณภาพ เมื่อมีคนที่มีคุณภาพ ศักยภาพการแข่งขันของเราก็จะดี” นายศุภชัยกล่าวในที่สุด

คลิกอ่านเพิ่มเติม… บิ๊กมูฟซีพีพลิกโฉมประเทศ ‘ไฮสปีด-อู่ตะเภา’ เดิมพันอนาคต


คลิกอ่านเพิ่มเติม… ไลฟ์สไตล์เจ้าสัว “ธนินท์”