พรรคก้าวไกล เสนอนโยบายปฏิวัติการศึกษา กำจัดความรุนแรง และอำนาจนิยมในโรงเรียน หลังเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน
วันที่ 1 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (31 พ.ค.) เพจพรรคก้าวไกล-Move Forward Party โพสต์ข้อความระบุเกี่ยวกับแนวทางการสร้างโรงเรียนปลอดภัย แก่นักเรียนทุกคน ต้องได้รับความปลอดภัย และไม่ควรได้รับการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยมีเนื้อหาระบุว่า
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- “พลังงานไฮโดรเจน” ถูกกว่าน้ำมัน 60% ไทยเริ่มศึกษาแต่ เยอรมัน กำลังจะเลิกใช้
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
แนวทางการสร้าง “โรงเรียนปลอดภัย ไร้อำนาจนิยม” โดยรัฐบาลก้าวไกล
ปัญหาเรื่องอำนาจนิยมและความรุนแรงในโรงเรียน เป็นปัญหาเรื้อรังของระบบการศึกษาไทย ซึ่งถูกพูดถึงในวงกว้างอีกครั้ง หลังปรากฏคลิปที่ถูกเผยแพร่โดย The Isaan Record เมื่อวานถึงเหตุการณ์ในโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี ที่คุณครูมีการตบหน้านักเรียน โดยอ้างว่านักเรียนไม่ตั้งใจเรียน ซึ่งผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคก้าวไกลในพื้นที่ วิศรุต สวัสดิ์วร ได้เข้าไปสอบถามและรับฟังปัญหาเพิ่มเติม
พรรคก้าวไกลยืนยันว่าความปลอดภัยของนักเรียนเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของนักเรียนที่ต้องได้รับการคุ้มครองทุกคน และไม่มีเหตุผล หรือกรณีใด ๆ ที่ทำให้ครูหรือบุคลากรทางการศึกษามีสิทธิที่จะละเมิดสิทธิของนักเรียน ไม่ว่าจะทำในนามของการสอนหรือการลงโทษก็ตาม
พรรคก้าวไกลต้องการกำจัดปัญหาความรุนแรง และอำนาจนิยมในโรงเรียน เพื่อทำให้โรงเรียนทุกแห่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด ด้วยการเสนอนโยบายเบื้องต้นดังต่อไปนี้
1.กฎระเบียบทุกโรงเรียนต้องไม่ขัดหลักสิทธิมนุษยชน และไม่เปิดช่องให้มีการละเมิดสิทธิ
1.1 ออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ และกำชับไปยังหน่วยงานอื่นที่จัดการศึกษา เพื่อกำหนดหลักการว่า กฎระเบียบของทุกสถานศึกษา ทุกสังกัดต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนนักเรียน พร้อมระบุตัวอย่างของกฎระเบียบที่เป็นการละเมิดสิทธิ (เช่น การลงโทษด้วยวิธีรุนแรงทุกประเภท การบังคับให้เด็กบริจาคเงินหรือสิ่งของ การบังคับซื้อของ การบังคับเรื่องทรงผม)
1.2 แก้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 (โดยเฉพาะข้อ 6) ให้ชัดเจนและรัดกุมขึ้น ในการปิดทุกช่องโหว่ที่เสี่ยงจะนำไปสู่การลงโทษด้วยวิธีรุนแรง โดยอ้างถึง “เจตนาที่จะแก้นิสัยและความประพฤติไม่ดีของนักเรียน” (เช่น การอ้างว่า “ตีเพื่อสั่งสอน”)
2.ครูละเมิดสิทธิ พักใบประกอบทันที
2.1 แก้ข้อบังคับคุรุสภา เพื่อเพิ่มเงื่อนไข กระบวนการ และกรอบเวลาที่ชัดเจน ในการพักใบประกอบวิชาชีพครูที่มีการละเมิดสิทธิเด็ก (เช่น การทำร้ายร่างกายเด็ก การล่วงละเมิดทางเพศ) แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการงดโทษหรือลงโทษเพียงแค่ย้ายโรงเรียน ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่ปลอดภัยของผู้เรียนในสถานศึกษาอื่น
3.ผู้ตรวจการนักเรียน (Student Ombudsman) ที่เป็นอิสระจากโรงเรียน-เขตพื้นที่
3.1 เพิ่มประสิทธิภาพของศูนย์ความปลอดภัย กระทรวงศึกษาธิการ (MOE Safety Center) ในการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิในโรงเรียน โดยรับประกันกรอบเวลาในการดำเนินการสืบสวน สอบสวน และรับประกันความเป็นอิสระจริงจากโรงเรียน-เขตพื้นที่ โดยอาจพิจารณาให้เป็นกลไกที่ขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
4.เพิ่มทักษะครูและบุคลากรทางการศึกษา เรื่องสิทธิมนุษยชน
4.1 เพิ่มความรู้และทักษะให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา เกี่ยวกับความสำคัญของสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเด็ก กฎหมายที่เกี่ยวข้อง (เช่น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก / พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546) และแนวทางการรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ ในห้องเรียนโดยปราศจากความรุนแรงและการทำร้ายร่างกายและจิตใจของผู้เรียน
4.2 เพิ่มการดูแลสุขภาพจิตของครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อลดภาวะทางความเครียดที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงในห้องเรียน
4.3 รณรงค์กับสังคมในวงกว้าง เพื่อส่งเสริมให้เด็กตระหนักถึงสิทธิของตนเอง และส่งเสริมให้ผู้ปกครองคุ้มครองสิทธิเด็ก
การทำให้โรงเรียนทุกแห่งเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นหนึ่งในหลายวาระที่สำคัญของการ “ปฏิวัติการศึกษา” ภายใต้ #รัฐบาลก้าวไกล”